รวมลิงค์นิยาย : [ The SAGA of Demon ]
https://sistacafe.com/search?q=The%20Saga%20of%20demon
⇐ Previous...#บทที่ 3
https://sistacafe.com/summaries/5228
ชีวิตอันน่าเบื่อ ตอนที่ 4 : จอมมารไปงานเลี้ยง...อีกรอบ
ปราสาทของจอมมารมีชื่อว่า ‘ปราสาทดำทมิฬที่สถิตแห่งผู้นิทราท่ามกลางราตรีที่ไม่สิ้นสุดในห้วงกาล’ ต้องบอกว่าจริงๆ แล้ว ชื่อที่จอมมารคนแรกตั้งอย่างลวกๆ ให้ มีแค่ ‘ปราสาทดำ’ นานๆ ครั้งก็เรียกว่า ‘ไอ้ปลาดำ’ เอาไว้ใช้ประกอบประโยค ‘อ๋อ ไอ้ปลาดำบ้านข้าเดี๋ยวนี้มีปีศาจที่ไหนไม่รู้มาอัดอยู่เต็มไปหมด จนเหมือนเป็นบ้านสงเคราะห์ปีศาจมากกว่าปราสาทจอมมารแล้วล่ะ’
ส่วน ‘-ทมิฬที่สถิตแห่งผู้นิทราท่ามกลางราตรีที่ไม่สิ้นสุดในห้วงกาล’ ห้อยพ่วงท้ายชื่อนั้น ต้องบอกว่า จอมมารรุ่นต่อๆ เป็นคนเพิ่มให้ทีละคำสองคำเพื่อความโก้หรู นึกสนุก มีอารมณ์ประสาทแดกปนๆ อยู่เล็กน้อย แต่ไม่ว่ายังไง กว่าจะมาถึงรุ่นของเกรเทล ไอ้เจ้า ‘ปราสาทดำ’ ก็มีกลายมาเป็น ‘ปราสาทดำทมิฬที่สถิตแห่งผู้นิทราท่ามกลางราตรีไม่สิ้นสุดในห้วงกาล’ ไปแล้ว
เกรเทลเองก็อยากต่อคำบ้างเหมือนกัน เพียงแต่จนปัญญา สุดท้ายก็ตัดสินใจ...ปล่อยให้จอมมารรุ่นต่อไปคิดคำต่อเอาเองก็แล้วกัน
ปีศาจในปราสาทดำทมิฬ (...ละไว้) มีรวมทั้งสิ้นกว่าพันตน ส่วนมากเป็นปีศาจที่ปลีกวิเวกจากทางโลกมาหาที่พัก ไม่ก็หนีคดีจากแดนปีศาจมาขออาศัย พวกระดับต่ำสุดจะสิงอยู่บริเวณรอบนอกปราสาท นอกจากคอยล่องลอยทำร่างโปร่งใสควักไส้เสริมสร้างความขลังของปราสาทให้น่ากลัวแล้ว ก็ไม่มีอันตรายอะไร พอลึกเข้ามาในปราสาทหน่อย จะเป็นของพวกชั้นกลางชั้นสูง พวกสิงได้ก็สิงตามอิฐตามพื้นหิน คอยทำปราสาทถล่มเมื่อจอมมารให้สัญญาณ พวกสิงไม่ได้ก็คอยปัดกวาดเช็ดถู บางทีก็จับอาวุธคอยสู้กับอัศวินแห่งแสงเมื่อถึงเวลา นอกจากเวลาเปลี่ยนจอมมารคนใหม่แล้ว ปีศาจทุกตัวในปราสาทก็ดูจะอยู่กันอย่างสันติมีความสุขดี
จอมมารคนปัจจุบันชื่อเกรเทล พวกปีศาจเองก็ค่อนข้างชอบจอมมารคนนี้ เพราะไม่เรื่องมาก สวย แถมทั้งยังมีนิสัยน่าสนุกอยู่หลายๆ ด้าน
“นี่หลานข้า” จอมมารเท้าสะเอวประกาศก้องอยู่บนพื้นหินหน้าปราสาท หลังจากเรียกรวมพลปีศาจได้สำเร็จ “ใครจะจีบข้าไม่ว่า แต่ฝ่าด่านไอ้ปีศาจหน้าแมวข้างๆ นี่ไปก่อนก็แล้วกัน”
“เฮ้ย!” คนที่โดนเรียกเป็นปีศาจหน้าแมวสะดุ้ง “นายหญิง!”
เกรเทลไม่สนใจ หันไปหาหัวหน้าพ่อบ้านคนสนิท แล้วสั่งทิ้งท้าย “ดิลองจัดห้องให้เธอด้วย แค่นี้แหละ ข้าไปละ”
ร่างอันสง่างามของจอมมารหมุนตัวหายเข้าไปในปราสาท แล้วการประกาศราชโองการใหม่ของจอมมารก็จบลงแต่เพียงเท่านี้“เมื่อกี้ข้ากำลังขัดส้วมอยู่นะ” เสียงปีศาจตัวหนึ่งท้วง“เจ้าก็ไปขัดต่อซะสิ” ปีศาจอีกตัวว่า
แล้ว....ชีวิตแสนน่าเบื่อในปราสาทของเกรเทลก็มีตัวกวนที่น่ารักน่าชังอย่างลามัวร์น่าเพิ่มมาอีกหนึ่ง“ปกติ เป็นจอมมารเขาทำอะไรกันบ้างหรือคะท่านน้า”
ในห้องสมุด หลังจากเกรเทลเข้ามาหาอะไรอ่านฆ่าเวลา ตัวกวนตัวดีอย่างลามัวร์น่าก็ย่องเข้ามาในห้อง เลื้อยเข้าเกาะเก้าอี้ ก่อนจะทำหน้าแบ๊วตาใสเท้าคางถาม
หลังจากมาอยู่ปราสาทไปเกือบอาทิตย์ ลามัวร์น่าก็แล่นไปทุกที่จนรู้ที่ทางทั่วปราสาท ตีซี้กับพวกปีศาจที่นี่จนพอรู้โน่นรู้นี่บ้าง
ลามัวร์น่ามักจะชอบท่านน้าคนนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะท่านน้าสวย ท่านน้าสวยมากๆ แม้จะชอบใส่ผ้าคลุมหน้าเพราะไม่ชอบให้ใครเห็นหน้า แต่ในช่วงเวลาสบายๆ ที่ไม่ต้องพบใคร ท่านน้ามักจะถอดทิ้งไว้ และไม่ว่าอะไรหากลามัวร์น่าจะเห็น
คงเพราะท่านพ่อท่านแม่ที่มักจะเข้านิทรานานทำให้เธอเหงา คงเพราะความมืดที่อยู่ในตัวของท่านน้าเข้มข้นทำให้อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ลามัวร์น่าจึงมักจะชอบท่านน้าเกรเทลมากกว่าน้องสาวและน้องชายของท่านแม่คนอื่นๆ
เกรเทลเงยหน้าจากหนังสือเวทมนตร์ที่อ่านซ้ำเป็นรอบที่ห้าสิบจนจำแทบขึ้นใจ ขอบตาคล้ำลงเล็กน้อยอย่างคนนอนไม่พอและมีเรื่องให้ครุ่นคิด แต่ก็ตอบให้
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าจอมมารเป็นคนยังไง” พอเห็นหลานสาวทำตาโตสงสัย เธอก็ยอมขยายความยาวๆ ให้ “จอมมารบางรุ่นเป็นพวกทะเยอทะยานจะครองโลก บางคนมีปณิธานแกร่งกล้า อย่างรุ่นที่สามสิบแปดที่ตั้งปณิธานจะเป็นจอมมารที่พิลึกที่สุดในยุค และพยายามทำตัวพิลึกๆ แต่น่าเสียดาย คนอื่นคิดว่าเขาพิลึกก็จริง แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นจอมมาร..."
อืม...ก็นับว่าโชคดีอยู่ ไม่งั้นชื่อเสียจอมมารคงป่นปี้... เกรเทลคิดในใจ
"บางทีก็มีพวกบ้าๆ อย่างรุ่นที่ห้าสิบที่ชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง และมีปณิธานแกร่งกล้าจะทำให้ผู้ชายทั้งโลกแต่งตัวเป็นผู้หญิง ออกคำสั่งให้พวกปีศาจลอบเข้าไปขโมยเสื้อผ้าผู้ชายทุกชุดในเมืองไปเผา แล้วส่งคนไปปาดคอช่างตัดเสื้อผ้าบุรุษทุกคนจนหมด...อืม...คิดๆ ดูแล้ว เพราะเหตุการณ์นี้ล่ะ บางคนถึงเริ่มรู้ตัวว่าชอบเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และบางคนก็ชอบมองผู้ชายแต่ตัวเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้หญิงจริงๆ ซะอีก...ข้าว่า อย่างน้อยรุ่นที่ห้าสิบก็ทำให้ใครหลายคนได้ค้นพบตัวเองนะ”
“แล้วท่านน้าเป็นจอมมารแบบไหนเหรอคะ”
“ข้าเป็นพวกรักสงบ” จอมมารว่า “ชอบอยู่เรื่อยๆ ไปวันๆ มากกว่า นี่ถ้าจอมมารรุ่นก่อนไม่หิ้วตัวข้าขึ้นจากเหวแล้วทวงบุญคุณด้วยการให้รับตำแหน่งจอมมาร ข้าก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นหรอก”
ใช่! พูดแล้วก็แค้นเหมือนกัน! แค่เธอพลัดตกเหวสูงแค่สองเมตร ปีนเองก็ปีนได้ แต่ยังไม่ทันจะปีน เจ้าจอมมารคนก่อนก็โผล่หัวออกมา ใช้นิ้วคีบเธอขึ้นจากเหว แล้วเริ่มทวงบุญคุณอย่างน่ารังเกียจให้รับตำแหน่งจอมมารคนต่อไป! แถมยังขู่ว่า ถ้ากล้าปฏิเสธ จะเอาเธอไปปล่อยลงในเหวลึกกว่านี้ ให้อดข้าวอดน้ำจนกว่าจะยอมตกลง! ทำตัวได้สมเป็นจอมมารจริงๆ!
“แล้วอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ” ลามัวร์ยังคงทำหน้าที่ตัวถามที่ดีต่อไป
“เบื่อสิ!” พอพูดถึงเรื่องเบื่อ เกรเทลก็เริ่มอยากบ่นขึ้นมายิบๆ “ตอนแรกก็พออ่านหนังสือที่ห้องสมุดแก้เบื่อได้หรอก ที่นี่หนังสือเยอะดี แต่พอนานๆ เข้าข้าก็เบื่อจนทนไม่ไหว เลยไปหาจอมมารรุ่นก่อนบอกว่าเบื่อตำแหน่งนี้แล้ว จอมมารรุ่นก่อนเลยแนะนำให้ลองอาละวาดดู แล้วก็แนะนำวิธีมา”
“อาละวาด?”
พอพูดถึงอาละวาด เกรเทลก็มีเริ่มมีเรื่องเล่าเยอะแยะจะโม้ให้หลานสาวฟังทันที ตั้งแต่วิธีอาละวาดที่เธอคิดค้นพลิกแพลงมาตลอดหลายพันปียันเรื่องนินทาอัศวินแห่งแสงรุ่นโน้นรุ่นนี้ โม้เรื่องหน้าแตกของพระราชารุ่นนั้นรุ่นนี้ บ่นไปเรื่อยจนถึงความเบื่อที่ต้องรอผลัดเปลี่ยนอัศวินแห่งแสงคนใหม่ แล้วก็เรื่องที่ชักเริ่มเบื่อการอาละวาดขึ้นมาตงิดๆ นี่แล้ว
“ไม่ลองลักพาตัวเจ้าหญิงดูล่ะคะ” หลานคนดีเสนอ แต่โดนท่านน้าค้อนตาเหลือกใส่ทันที
“เอามาทำไม ถึงข้าจะชอบดูของสวยๆ งามๆ แต่จะให้ขโมยเจ้าหญิงที่สวยน้อยกว่าตัวเองมาแบบนี้ ข้านั่งส่องกระจกดูหน้าตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ” แล้วจอมมารก็ขมวดคิ้ว “ข้าว่า ลักพาตัวเจ้าชายหล่อๆ ยังฟังดูดีกว่าเยอะ”
ลามัวร์น่าไม่เถียงเรื่องหน้าตา แต่ถามต่อไป “แล้วทำไมไม่ทำล่ะคะ”
“พวกเจ้าชายชอบเรื่องมาก ยิ่งหล่อยิ่งเรื่องมาก แถมยังสำอาง ข้าไม่ชอบพวกอ้อนแอ้นเท่าไร ถ้าให้เทียบกันแล้ว ปีศาจชั้นสูงส่วนมากยังหน้าตาดีกว่าพวกเจ้าชายนี่อีก”
“งั้นทำไมท่านน้าไม่หาคนรักเป็นปีศาจชั้นสูงสักคนล่ะ” มัวร์ถามตาใส “จะได้ไม่เบื่อ”
คำถามที่ทำให้คนถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนแย้มพรายตอบ
“ก็เคยมี” จอมมารยักไหล่ “แต่พอดีข้ามันพวกเรื่องมากแล้วก็เอาแต่ใจ เลยไปไม่ค่อยจะรอดเท่าไร”
ถ้อยคำคลุมเครือที่ทำให้ตาคล้ำๆ ของจอมมารหลุบต่ำอย่างนึกสะท้อนถึงเรื่องที่ทำให้ครุ่นคิดถึงช่วงนี้
นี่ก็ผ่านมา....ปีแล้วสินะ
เห็นท่าทีของคุณน้าแล้ว ลามัวร์น่าก็พอเข้าใจบางอย่างได้ ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังเป็นเด็กสาว พอพูดเรื่องรักๆ แบบนี้ก็เริ่มออกอาการตาวาวสนใจขึ้นมาทันที
"เป็นปีศาจแบบไหนหรือคะ! ท่านน้าไปพบกันได้ยังไง"
"ห้องนี้มีหนังสือเยอะ” พอเห็นอาการตาวาวของหลานสาว เกรเทลก็เริ่มเบี่ยงประเด็นทันที “ข้าอ่านไม่หมดสักที แต่มีเรื่องคำสาปอยู่มาก อาจมีอะไรที่เกียวกับคำสาปตระกูลเจ้าอยู่ก็ได้”
เหมือนมุขนี้จะได้ผล เพราะลามัวร์น่าทำหูตั้งหางกระดิกทันที
“จริงหรือคะ”
“จริ๊ง อยู่ตรงมุมโน้นแน่ะ” จอมมารยิ้มเจ้าเล่ห์ ชี้โพรงให้กระรอก ก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย “ข้าไปนอนล่ะ อ่านแล้วเก็บเข้าที่ล่ะมัวร์”
แล้วคุณน้าตัวดีก็ผละออกมาได้ไวว่องก่อนที่หลานคนดีจะถามอะไรมากมาย นับว่า ชิ่งหนีออกมาอย่างถูกที่ถูกเวลาถูกจังหวะจริงๆ
เฮ้อ...
# # #
เกรเทล...
เสียงหนึ่งเรียกแผ่วเบา ราวกับมาจากที่ห่างไกล...
...เหมือนจะมีใครเรียก...
เกรเทล...ไม่เอาน่า...
เสียงช่าง...คุ้นหู...ทุ้มนุ่ม...อ่อนโยน...ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน...
อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ...ข้าต้องไปนะ...
อา...ใช่สิ...ตอนนั้นนี่...ตอนนั้นเขาก็เคยพูดแบบนี้...
‘เกรเทล ไม่เอาน่า...’
เสียงเขายังคงนุ่ม...นุ่มรื่นหู สุภาพอย่างที่มักเป็น...ไม้เว้นแม้ตอนนั้น...
ตอนนั้นเธอทำยังไงนะ...เม้มปาก ก้มหน้า...ไม่ได้พูดอะไร แต่มือยังคงยื้อเขาไว้ไม่ปล่อย
เธอไม่ได้จับแรงอะไร ไม่ได้บีบแน่นหรือมีแรงมากมาย เพียงแค่กำนิ้วเขาไว้หลวมๆ ออกแรงเพียงนิดก็หลุดได้ แต่เขาก็ทำเหมือนมันเป็นโซ่แกะไม่ออก ไม่สลัดมันไปสักที
‘อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ...’ เขายิ้ม จะเลื่อนมือเข้าแตะหน้าเธอ แต่ก็ชะงักลงกลางคัน ได้แต่กำนิ้วมือราวกับอดกลั้น แล้วชักมันกลับไปไว้ข้างตัว ‘ข้าต้องไปนะ...’
ต้องไป...
คำๆ นี้บีบหัวใจเธอให้รัดแน่น ถ่วงมันให้หนักอึ้ง เจ็บปวดมหาศาลราวกับจะแตกสลาย
‘อย่าไปนะ...’
เธอเค้นมันออกไป แหบปร่า เบาหวิวไร้น้ำหนัก แต่ต่อให้หนักกว่านี้ อีกฝ่ายก็เพียงยิ้มอ่อนโยน...อ่อนโยนอย่างที่มีให้เสมอมา...
'ข้าจะกลับมา'
ไม่...ไม่...ได้โปรดอย่าไป โปรดทิ้งมันไปเถิดแล้วอยู่กับข้า...
ถ้อยคำที่เธอเคยเอ่ยร้อง และอยากจะเอ่ยมันอีกครั้ง แต่รับรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้เลือกแล้ว
‘ยิ้มนั่น...ท่านยิ้มจากใจจริงรึเปล่า...’
‘อยู่กับเจ้า ข้ายิ้มจากใจตลอดนั่นล่ะ’ เขาหัวเราะเบาๆ ตาสีแดงระยับพราย ก่อนจะเอียงหัว ยิ้มราวกับเป็นเรื่องสนุก หวังจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น ทำให้เธอยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขายังอยู่ตรงนี้และไม่ได้จะไปไหน
แต่มันก็พังทลาย เมื่อเขาเอ่ยคำสุดท้าย
‘ไปก่อนนะ’
เขาเหลือบตามองมือที่เธอจับไว้ ทำท่าลำบากใจ เธอรู้ดีว่ารั้งไม่ได้ก็ยอมปล่อยมือ...
ปล่อยไป...
แล้วทนเจ็บมากมายนานนับปีตลอดมา...
แดดยามเช้าส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เห็นชัดว่าดิลองคงเห็นเธอตาคล้ำนอนไม่หลับหลายวัน จึงสั่งให้พวกปีศาจชั้นนอกที่คอยทำบรรยากาศหลอกหลอนอึมครึมลาพักร้อนชั่วคราว แล้วลดไอหมอกแห่งความมืดที่ปกคลุมนอกปราสาทลง ปล่อยให้แสงแดดสาดเข้ามาเล็กน้อยเพื่อให้สดชื่น
ดิลองยังคงใส่ใจเธอมากจริงๆ เข้าเมืองครั้งหน้าเธอน่าจะหาทับทิบเกล็ดมังกรของโปรดเขามาฝากสักหน่อย
จอมมารกุมศีรษะ รู้สึกปวดหัวตุบๆ
ฝัน...
ฝันที่เคยทรมานเธอเมื่อหลายร้อยปีก่อนกลับมาอีกแล้ว...เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เจ็บปวดเจียนตาย...ไม่รู้สึกเหมือนใจจะแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ อีกแล้ว...
เวลาผ่านไป มันก็เป็นแค่ความทรงจำ...
ความทรงจำให้คิดถึง...
เกรเทลใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือจับหน้าผาก นึกทวนฝันเมื่อครู่อีกรอบด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และหน่วงๆ ในหัวใจ
ทั้งที่ไม่ได้ฝันถึงมันนานแล้ว...เธอลบมันไปจากใจได้แล้ว แต่ทำไมกัน....ทำไมมันถึงกลับมา...
“ตื่นแล้วหรือ”
เสียงหนึ่งถาม ด้วยความที่สติยังไม่แจ่มชัดดีเกรเทลจึงพยักหน้าหงึกไปทีหนึ่ง ก่อนจะชะงักกึก...หันไปมอง
รอยยิ้มอบอุ่นที่ปนขี้เล่นแจ่มชัดในสายตา ผมสีน้ำตาลและตาสีแดงพรายระยับราวกับหลุดออกมาจากฝันทำให้เธอถึงกับนิ่งค้าง
เอ๋...หรือเธอจะยังไม่ตื่นดี...
“อรุณสวัสดิ์” คนที่นั่งบนพื้น ยกศอกเท้าคางบนเตียงเธอยิ้ม และยิ้มนั่นทำให้เกรเทลได้สติ ถอยพรวดไปข้างหลังเหมือนเห็นผี ก่อนจะวืดล้มหงายหลังทันทีเมื่อถึงสุดขอบเตียง
“เฮ้ย!” อีกฝ่ายร้องลั่น พุ่งตัวเข้าไปคว้าเธอไว้ แล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้แนบอกอย่างลืมตัว
...
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไปเสี้ยววิ สัมผัสที่รู้ว่าไม่ใช่ความฝันทำให้เกรเทลทำหน้าตื่นตะลึงยิ่งกว่าครั้งแรก ในขณะที่อีกฝ่ายเมื่อได้กอดเธอ ก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกราวกับกลัวเธอจะเลือนหาย
“ปล่อยข้า” เกรเทลที่หายตกใจแล้วร้องขึ้นทันที
คนกอดยังไม่ยอมปล่อย แต่พอคนในแขนเริ่มดิ้น แล้วเริ่มเรียกก้อนพลังดำมืดมาไว้ในมือ เขาก็จำยอมคลายมือ ก่อนจะตั้งแขนรับศอกที่อีกฝ่ายประเคนให้ทันที
“ไม่เอาน่า” เขาร้อง ก่อนจะกระเถิบตัวถอยห่างออกมา เพราะรู้ว่านอกจากศอกแล้ว อีกฝ่ายยังมีสารพัดมนตร์ดำอีกเป็นเกวียนที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้
“เข้ามาได้ยังไง” เธอถามเสียงต่ำ ในมือเริ่มมีก้อนพลังดำๆ ไม่ทราบชื่อก่อตัวอยู่ภายในนั้น...ที่นี่เป็นปราสาทจอมมาร ปีศาจนับพันอารักขาที่นี่อยู่ ไหนจะกองทัพฝันร้ายที่สิงสถิตใต้ปราสาทพร้อมจะกระโจนขย้ำผู้ที่บังอาจล่วงล้ำโดยไม่ได้รับเชิญ ถ้าไม่ได้คนในเปิดประตูให้เข้ามาก็ไม่มีทางฝ่าเข้ามาได้
คนเจ้าเล่ห์เลิกคิ้ว ขยับยิ้ม “มีคนเปิดให้”
ปัง!
“อยู่นี่เอง!” แขกคนใหม่ที่ถูกเชิญมาอยู่ที่นี่ได้ครบอาทิตย์โผล่หน้าเข้ามาแล้วร้องลั่น “อย่าเดินไปเดินมาสิคะ!”
“คุณหนู” เกรย์ เจ้าปีศาจรับใช้ที่วิ่งตามหลังมาตะโกน ก่อนเจ้าตัวจะโผล่หน้ามา แล้วหดหัวกลับทันที “อึ๋ย...นายหญิง...”
“มัวร์” เกรเทลที่พอเดาอะไรๆ ได้แล้วยกมือแตะหน้าผาก ชักปวดหัวตุบ “อย่าเปิดประตูให้คนแปลกหน้าเข้ามาสิ”
“ตอนแรกข้าไม่เปิดหรอกค่ะ” ลามัวร์น่าแก้ตัวทันที “แต่เขาบอกว่ารู้จักกับท่านน้า ท่านน้าเป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจมหาศาล ต่อให้ราชาปีศาจบุกมาถึงที่ ก็ยังสาปให้เป็นกิ้งกือได้ ข้าว่าก็จริง เลยปล่อยให้เข้ามา”
“อ้อ...” จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ลากเสียง หันไปมองตัวต้นเหตุที่ยืนยิ้มหน้าทะเล้น “ไหนๆ ท่านราชาปีศาจก็อุตส่าห์ยกยอกันขนาดนี้แล้ว ข้าให้โอกาสท่านเลือกก็แล้วกันว่าอยากเป็นกิ้งกือสายพันธุ์ไหน”
ท่านราชาปีศาจหรือ...ลามัวร์น่าทำตาโต หันไปมองอาคันตุกะหน้ายิ้มคนนั้นทันที
“อย่าโหดนักสิเกรเทล” ท่านราชาปีศาจยังคงตีหน้ายิ้มอยู่ “ข้าแค่จะมาชวนเจ้าไปงานเลี้ยงเท่านั้นเอง วันเกิดครบรอบห้าพันปีของข้าทั้งที แดนปีศาจจัดฉลองงานนี้ทั้งเดือน จะไม่มาหน่อยเหรอ”
คำชวนง่ายๆ เหมือนไม่เคยมีเรื่องติดค้างกันทำให้เกรเทลหมั่นไส้นิดๆ ว่าจะไล่ให้กลับไป แต่ลองมาคิดดูดีๆ...ตอนนี้เธอเบื่อจนแทบจะฆ่าตัวตายเล่นอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรมาให้ทำฆ่าเวลา กับแค่เรื่องเล็กน้อยในอดีตเธอก็พอจะทำเมินได้บ้าง
“ไป” เธอว่าง่ายๆ ทันที แทบไม่ต้องเปลืองเวลาคิดเลย
คราวนี้คนชวนเป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง
“ไปจริงๆ เหรอ” เขาถามย้ำอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ไปจริงๆ นะ”
“ข้าเกลียดท่าน แต่ข้าเบื่อ ข้าจะไป“ จอมมารรวบทุกอย่างไว้ในประโยคเดียว ก่อนเสริมว่า “ถ้าไปแล้วไม่สนุก ข้าจะสาปท่านให้เป็นกิ้งกือแล้วเอาให้มัวร์กิน”
“ข้าไม่กินกิ้งกือนะคะ” ลามัวร์น่าท้วง จอมมารเลยหันมาโน้มน้าวหลานสาว
“กิ้งกือราชาปีศาจเป็นกิ้งกืออายุห้าพันปี กินแล้วน่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรงต้านแสงขึ้นบ้างน่ามัวร์”
ลามัวร์น่ายังทำหน้าขยะแขยง ในขณะที่เจ้าตัวราชาปีศาจยังยืนยิ้มขำ เพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นประโยคแถหน้าตายแบบนี้ของเกรเทล
นิสัยการพูดนี่...ผ่านไปหลายร้อยปี นอกจากไม่เปลี่ยนไปแล้ว ยังเหมือนจะอัพเกรดความสามารถเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นเยอะ
“ข้าขอรับรองด้วยเกียรติของราชาปีศาจเลยว่า สนุกแน่นอน”
“ข้าไปด้วยได้ไหมคะ” ลามัวร์น่ายกมือ “แดนปีศาจน่าจะมีไอปีศาจเยอะ ข้าคงพอทนได้”
“ถ้าไม่กลัวปีศาจที่โน้นจับเจ้าไปควักหัวใจกินก็ไปสิ” เกรเทลว่าเสียงเรียบ “ที่มีพวกปีศาจมาบุกปราสาทเจ้าก็น่าจะพอเดาได้บ้างแล้วว่าปีศาจตัวสองตัวราชาปีศาจเองยังคุมไม่ค่อยได้ ข้าเองก็ไม่ไว้ใจหรอกนะว่าพอไปโน่น เอาเจ้าไปอยู่กลางดงปีศาจ จะมีใครกล้าจับเจ้าไปกินรึเปล่า“
“อึ๋ย...” หลานสาวคนดีหดหัวทันที “งั้นไม่ไปก็ได้ค่ะ แต่เอาของมาฝากข้าด้วยนะ”
ถ้อยคำว่าง่ายของหลานสาวทำให้จอมมารยิ้มเล็กน้อย ไถลตัวลงจากเตียง เมินราชาปีศาจ แล้วยกมือไปลูบหัวหลานคนดี
“อยู่ดีๆ อย่าซนล่ะ ถ้าซนข้าลงโทษเกรย์ฐานดูแลเจ้าไม่ดี ไว้ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันข้าจะเอากิ้งกือกลับมาฝาก” แล้วเธอก็ผละมือ เดินออกจากห้องไป พร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า “ข้าจะไปแต่งตัว”
Next...#บทที่ 5 ⇒
https://sistacafe.com/summaries/5983