ชีวิตอันน่าเบื่อ ตอนที่ 3 : หลานสาวของจอมมาร

หลังจากแวะทักทายดูหน้าเลล่า เจ้าสาวหมาดๆ ของเซอร์เฮมล็อตไปเล็กน้อย แล้วนั่งนินทาอดีตอัศวินแห่งแสงกันไปสักยกหนึ่ง พอให้รู้ว่าภรรยาของอดีตอัศวินแห่งแสงคนนี้เป็นสาวร่าเริงที่คุยง่าย เธอกับสามีไม่เคยมีความลับต่อกัน ดังนั้นเมื่อเฮมล็อตแนะนำตัวเกรเทล เจ้าตัวก็ยินดีที่มีจอมมารมาเยี่ยมถึงบ้าน จัดแจงต้อนรับอย่างดี ถามว่าแกงหน่อไม้ขาวที่เธอทำฝากเฮมล็อตไปตอนจอมมารอาละวาดครั้งที่สิบอร่อยไหม นั่นเธอทำเอง จอมมารก็ตาโต เพราะที่เธอเข้าเมืองรอบนี้ก็ตั้งใจจะมาหาหน่อไม้ขาวไปให้พ่อครัวในปราสาททำแกงแบบนั้นให้กินเหมือนกัน เจอคนทำแบบนี้ก็ดี จะได้ข้อสูตรไปด้วยเลย

พอได้สูตรสมใจ ก่อนจะจากไปเกรเทลก็กวาดตามองคู่สามีภรรยาหนึ่งรอบ หวนคิดว่าหลายปีที่ผ่านมาอัศวินแห่งแสงก็เป็นเพื่อนแก้เบื่อเธอมาไม่น้อย และเธอก็ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนมาไม่น้อย เป็นต้นว่าตอนอาละวาดครั้งที่สี่เธอเค้นพลังทำป่าที่เต้มไปด้วยต้นหนามพิษดุร้ายที่จับคนที่เข้ามากระเดือกลงกระเพาะ จากนั้นค่อยๆ ใช้น้ำย่อยในกระเพาะละลายผิวเหบื่อทีลนิดทีละนิดให้หยื่อตายอย่างช้าๆ และทรมาน หรือเมืองต้องสาปที่ร่ายหมอกลวงตาบดบัง ผู้ที่เข้ามาจะเห็นเป็นเมืองอันยิ่งใหญ่งดงาม เข้ามารื่นเริงดื่มกิน แต่จริงๆ แล้วใต้ดินเป็นรังของหนอนไหมนับล้านที่อาศัยช่วงที่เหยื่อนอนหลับค่อยๆ มุดเข้าไปในปากในจมูกแล้วเข้าไปแล้วกัดกินเพื่อยึดร่างจากข้างใน...

อา...ช่างเป็นช่วงเวลาอันแสนสุขมากจริงๆดังนั้นจอมมารจากนั้นจึงบอกว่า ข้าจะให้พรเซอร์เฮมล็อตตัวเกร็งขึ้นมาทันที"เจ้าใช้มนตร์อวยพรได้ด้วยเหรอ"

"นั่นสินะ" จอมมารพยักหน้า ไม่ได้ช่วยให้คนถามใจชื้นขึ้นเลยแม้แต่น้อย "จริงๆ แล้วข้าใช้เวทตร์อวยพรเรื่องดีๆ ได้ยากมาก"

เพราะพลังของจอมมารเป็นสายมืด เกี่ยวกับความตาย การสาปแช่ง การใช้เวทมนตร์ให้พรจึงเป็นอะไรที่ยากมาก แทบจะเป็นสายพลังตรงกันข้ามเลยทีเดียว

แต่ใช่ว่าจะพลิกแพลงไม่ได้จอมมารดึงแขนเสื้อขึ้นมาเล็กน้อย "ข้าเองก็อยากลองสักหน่อยเหมือนกัน"เลล่ากระพริบตาปริบๆ อย่างคาดหวังเล็กๆ ในขณะที่ฝ่ายสามีเริ่มคิ้วกระตุก ลังเลใจว่าจะเข้าไปเอาดาบแห่งแสงในบ้านมาเสียบจอมมารตรงนี้ดีหรือไม่

"ในนามแห่งข้าจอมมาร..." เกรเทลเริ่มร่าย ก้อนพลังดำๆ ท่าทางไม่น่าไว้ใจแผ่ออกจากร่าง "ข้าขอสาปแช่งสองสามีภรรยาคู่นี้""เดี๋ยว! ไหนว่าอวยพรไง!"

"เจ้าทั้งสองต้องประสบเคราะห์กรรมแห่งความชั่วร้าย!" จอมมารไม่สนใจ "เหล่าภูตแห่งความมืดจะสาปแช่งพวกเจ้าให้มีแต่โชคดี! ความชั่วร้ายจะเกลียดชังและไม่มากล้ำกรายพวกเจ้า ผู้ประสงค์ร้ายทั้งมวลล้วนไม่อยากข้องแวะกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะเป็นคู่สามีภรรยาที่ความดีงามอันน่ารังเกียจต้องเข้าหา ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณจะไม่อยากได้ดวงวิญญาณพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานกับคำสาปนี้ไปนานจนแก่เฒ่าและสิ้นลมหายใจ!"

เกิดเสียงเอคโค่ตรงประโยคสุดท้ายเล็กน้อยอัศวินแห่งแสงอึ้ง ส่วนฝ่ายภรรยาตบมืออย่างตื่นเต้น"เยี่ยมไปเลยเฮม จอมมารเพิงให้สาปว่าพวกเราจะต้องมีแต่ความโชคดี ไม่มีความชั่วร้ายเข้ามาในชีวิต ไม่มีคนประสงค์ร้าย เต็มไปด้วยความดีและจะอายุยืนยาวด้วยล่ะ!!""...."####

เมื่อเกรเทลมาถึงปราสาท สิ่งแรกที่รอต้อนรับ คือร่างบางๆ ในชุดกระโปรงฟูฟ่องเปื้อนเลือดยืนทะมึนอยู่ในโถงปราสาท ตากลมๆ ใสแจ๋วราวกับตุ๊กตามีน้ำตาไหล น้ำตาซับคราบเลือดบนหน้ากลายเป็นน้ำตาเลือดหยดแหมะอยู่บนพื้นปราสาท ผมยุ่งเหยิงที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาลกรังๆ ตกลงมาปรกหน้า ส่งเสียงครางฮือออ ฮือออ แล้วพุ่งเข้ามาหาจอมมารทันทีที่เธอมาถึง

จอมมารนึกว่าโดนผีหลอกไปชั่วขณะ เกือบจะปัดทิ้งแล้ว แต่ก็ยังตั้งสติทัน“มัวร์” เกรเทลเรียกอย่างแปลกใจ มองร่างที่สั่นระริกกอดเอวเธออยู่ “ตื่นแล้วเหรอ”ที่เกรเทลทักเธอแบบนั้น นับว่ามีเหตุผลอยู่

ลามัวร์น่าเกรล เซียร์ เทียร์  ยัยหนูชื่อยาว ลูกของพี่สาวเธอ พี่สาวเพิ่งแต่งงานไปเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน สามีของพี่สาวเป็นคนจากเผ่าโบราณ ตามสายเลือดแล้วถือเป็นโคตรเหง้าตระกูลบรรพบุรุษของปีศาจหลายๆ สาย รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทุกประการ เพียงแต่ค่อนข้างอายุยืน ชอบดื่มเลือดสด และไม่ค่อยสู้แสงเท่าไรนักด้วยความเป็นตระกูลโบราณจึงมาพร้อมประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายๆ อย่าง รวมทั้ง ต้องคำสาปโบราณ

ตระกูลฝ่ายพี่เขยเป็นตระกูลต้องสาป ทุกคนในตระกูล ไม่ว่าสายในหรือสายนอก แม้จะแต่งเข้าและไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวดองกัน หากเข้ามาเป็นคนในตระกูล จะตกอยู่ภายใต้คำสาปนี้ทั้งนั้น พี่สาวเกรเทลเอง พอแต่งงานก็ต้องสาปเช่นกัน แต่คำสาปไม่เชิงว่าร้ายแรงมากมาย แค่ทำให้บางครั้ง คนในตระกูลจะนอนหลับนานเป็นสิบปี บางทีก็ร้อยปี พันปี ถ้าถึงเวลาก็ตื่นขึ้นมาเองบ้าง แต่ก็มีบ้างที่หลับจนแห้งตาย

พี่สาวรักพี่เขยและเลือกที่จะต้องสาปไปจนตายด้วยกัน ความรักนี้เกรเทลเองก็ชื่นชมอยู่มาก หลังจากพี่สาวแต่งงานไปได้มีกี่ปี โชคดีที่เป็นช่วงที่คำสาปยังไม่ทำงาน พี่สาวและพี่เขยตื่นอยู่นานนับสิบปีจนกระทั่งมีเจ้าหญิงน้อยๆ มาคนหนึ่งหลานสาวคนนี้...ลามัวร์น่า เท่าที่เกรเทลจำได้ เห็นว่าห้าสิบปีก่อนเพิ่งนิทรายาวตามพ่อแม่ไป มาตอนนี้ ดูเหมือนจะตื่นแล้ว

“น้าเกรเทล...” ลามัวร์น่าเริ่มเบะปาก หยาดน้ำใสๆ เม็ดโตๆ ซึมออกมาเอ่อล้นเต็มสองตา“เป็นอะไร” จอมมารชักใจไม่ดี มองหน้าหลานสาวตัวเอง ก่อนจะรู้สึกผิดสังเกต “เกรย์ล่ะ...เกรย์หายไปไหน”

เกรย์คือปีศาจรับใช้ที่เกรเทลปั้นเป็นของขวัญวันเกิดให้หลานสาวเมื่อครั้งกระโน้น ปกติจะยู่กับมัวร์ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ เกรย์หายไปไหน ทำไมปล่อยให้มัวร์มาที่ปราสาทดำนี่คนเดียว แถมยังในสภาพเลอะเลือดอีกด้วย ไม่รู้ว่าเลอะเพราะบาดเจ็บอะไรมา หรือเลอะเพราะรีบกินแล้วรีบมากันแน่แต่ไม่ว่าจะเลอะเพราะอะไร แต่ทันทีที่ถามถึงเกรย์ หลานสาวคนดีถึงกับปล่อยโฮออกมาทันที“น้าเกรเทล ช่วยเกรย์ด้วย!”...งานเข้าซะแล้วสิ##

ปราสาทสีเทา ในหุบเขาสีเทา ปกคลุมด้วยหมอกทึบตลอดปี คือที่อยู่ของตระกูลเซียร์-เทียร์ ตระกูลเผ่าโบราณจากยุคหนึ่งแผ่นดิน เกิดก่อนสมัยที่แผ่นดินจะแตกแยกออกเป็นทวีปเหมือนตอนนี้ แม้จะอายุยืน แต่เพราะคำสาป ทำให้จนตอนนี้ ก็เหลือเพียงเชื้อสายไม่กี่คนเท่านั้น

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...” หลานสาวคนดีเริ่มเล่า หลังจากพาคุณน้ามายังที่เกิดเหตุได้เป็นผลสำเร็จ“ข้าจำได้ว่าระหว่างห้าสิบปีที่หลับยาว ข้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาสองสามครั้ง ครั้งแรกเกรย์ยังอยู่เฝ้าข้าเหมือนเดิม แต่พอครั้งที่สอง เหมือนจะมีอะไรบางอย่างบุกเข้ามาในห้อง ข้าเห็นเกรย์สู้เลือดอาบ แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็หลับไปอีกแล้ว...”

น้ำเสียงของเธอดูจะแค้นใจกับคำสาปนี้มาก “พอตื่นมาครั้งที่สาม ข้าเห็นเกรย์นอนอาบเลือดที่พื้นห้อง ขะ ข้ารีบลุกขึ้นไปดู แต่สุดท้าย...พอแตะตัวเขาได้ข้าก็ล้มลงไปอีก เพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อวาน...”พูดถึงตรงนี้ เด็กสาวก็เริ่มไหล่สะท้าน ทำท่าจะเป่าปี่อีกรอบ

เกรเทลกวาดตามองห้องนอนที่เละเทะเหมือนเคยมีตัวอะไรบางอย่างฟัดกันในนี้ ผนังด้านหนึ่งมีเลือดสาดกระจาย แม้รอยเลือดจะแห้งกรังเป็นสีดำแล้ว แต่ร่องรอยที่ฟ้องเด่นชัด คือร่างสูงผอมที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยเกล็ดเลือดแห้งกรังสีเข้ม บ่งบอกว่าเคยบาดเจ็บสาหัส

ดูจากสภาพชุดของมัวร์แล้ว...เจ้าตัวคงต้องลงมานอนคลุกเลือดข้างๆ เกรย์แน่ๆ แล้วหลับไม่รู้เรื่องจนถึงเมื่อวาน ตื่นมาอีกทีก็เจอเกรย์นอนนิ่งสนิทเลือดเต็มตัวอยู่ข้างๆ เลยขวัญเสียขนาดหนัก

เกรเทลคุกเข่าลงกับพื้น ใช้ปลายนิ้วแตะลงที่กลางหน้าผากของปีศาจรับใช้ ใช้พลังหยั่งดูชีพจร

พอลามัวร์น่าเห็นน้าตัวเองเริ่มดูสภาพเกรย์แล้วก็เริ่มใจชื้นขึ้นหน่อยๆ พยายามอ้าปากเล่าต่อ

“ข้าไม่รู้ว่าหลังจากที่ตื่นเวลาผ่านไปแค่ไหน แต่เกรย์นิ่งมาก เลือดก็แห้งมาก ต้องนานมาก ตะ...ตอนแรกข้าวิ่งไปห้องของท่านพ่อท่านแม่ ทุบประตู ร้องตะโกนอยู่ทั้งคืน แต่พวกท่านไม่ตื่น ข้าลองวิ่งลงไปข้างล่าง แต่ไม่รู้ว่าระหว่างที่หลับไปเกิดอะไรขึ้น ตุ๊กตารับใช้พังหมดทุกตัว กองอยู่บนพื้น...ไม่มีเหลือใครอยู่ในปราสาทเลย...”

ชักไม่ปกติแล้วสิ...

เพราะใช้เวทเคลื่อนย้ายจากปราสาทดำมายังห้องนี้โดยตรง เกรเทลจึงไม่มีโอกาสเห็นสภาพข้างล่าง หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็ละมือออกจากปีศาจรับใช้

“เจ้านี่ยังโชคดีนะ เอาตัวเข้าแลกปกป้องเจ้านาย แม้บาดเจ็บแทบตายก็ยังอยู่เฝ้าเจ้า แต่เพราะบาดเจ็บมากไป ร่างกายเลยเข้าสู่สภาวะจำศีล”

“ยังไม่ตายใช่ไหมคะ” ลามัวร์น่าถามเสียงเครืออย่างคาดหวังเต็มที่ เกรเทลเองก็พอเข้าใจความรู้สึกของแม่หนูนี่ดีอยู่หรอก

ก็นะ...เกิดมาได้ไม่ถึงสิบปีดี พ่อแม่ก็มาหลับเป็นตาย จนตอนนี้สองร้อยปีแล้วก็ยังไม่ยอมตื่น ตลอดเวลามีแต่เกรย์อยู่เป็นเพื่อน ถึงอย่างไร ก็นับว่าผูกพันกับเจ้านี่มากกว่าพ่อแม่แน่ๆ

เกรเทลเคารพเลฮาน่าพี่สาว ในฐานะที่เป็นพี่ แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกับพี่สาวมากนัก กับหลานคนนี้ก็ไม่ได้สนิทมากมาย เห็นว่าชีวิตน่าสงสารถึงได้เอ็นดูหลอมปีศาจให้เป็นของขวัญ แต่พอเห็นเค้าหน้าของพี่สาวที่มีส่วนคล้ายมารดามองมาอย่างวิงวอนน่าสงสาร สุดท้าย เธอก็ยอมตกปากรับคำ

“ข้าจะปลุกให้”

มือเรียวขาวซีดโบกมือครั้งหนึ่ง ไม่มีพิธีกรรมและคาถาใดๆ แต่ลามัวร์น่าสัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรงที่แผ่ออกมา จึงรีบถอยห่าง

เปรี้ยง!

สายฟ้าทรงอานุภาพเส้นหนึ่งฟาดลงมาอย่างรุนแรง ทะลุหลังคาปราสาท ผ่าลงมายังร่างที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้นทันที

อานุภาพอันรุนแรงของสายฟ้าอาบร่างของเกรย์จนเป็นสีทอง สว่างจ้าจนลามัวร์น่าที่ไม่ค่อยทนแสงถึงกับแสบตาแสบผิว แทบปรือตามองไม่เห็น ได้แต่หวังว่า ท่านน้าคงยังไม่ได้คิดจะย่างสดเกรย์มาเป็นอาหารค่ำ

ผ่านไปเกือบนาที สายฟ้าสีทองที่ผ่าลงมาจึงหยุดลง มีกลิ่นไหม้เล็กน้อยลอยทั่วห้องจนผู้ร่ายคาถาต้องมุ่นคิ้ว

นี่เธอย่างสดเกรย์ไปแล้ว?

แต่ร่างของเกรย์ไม่มีรอยไหม้ เลือดเกราะกรังที่อยู่ทั่วตัวก็หลุดออกไป ด้วยอานุภาพของสายฟ้าที่อาบพลังปีศาจไว้เต็มที่ ทั่วตัวจึงไม่หลงเหลือบาดแผลใดๆ แต่เพราะหลับนานเกินไป จิตใจจึงเข้าสู่ฝันส่วนลึก ตอนนี้เหลือแค่รอสักพัก ให้จิตสำนึกหลุดออกมาจากฝัน เจ้าตัวก็จะตื่นขึ้นมาเอง

เมื่อไม่ใช่เกรย์ เกรเทลก็หันไปมองหลานสาว เธอทรุดอยุ่บนพื้น ทั่วตัวมีรอยไหม้ แขนส่วนที่โผล่พ้นเสื้อเริ่มขึ้นสีเกรียมแบบพอดีกิน ตากลายเป็นสีแดงก่ำ เส้นเลือดในตาแตกฝอยจนซึมไหลอาบแก้ม

“กระทั่งแสงของสายฟ้าปีศาจก็ทนไม่ได้หรือนี่” เธอว่าอย่างแปลกใจ เดินเข้าไปตรวจดูสภาพ

“เกรย์เป็นอย่างไรบ้างคะ” อีกฝ่ายร้องถาม ตาที่โดนแสงเสียดแทงจนเลือดอาบพยายามลืมขึ้นมอง แต่โดนเกรเทลดีดหน้าผากอย่างหมั่นไส้ไปทีหนึ่ง

“เดี๋ยวก็ฟื้น ตอนนี้ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ข้าไม่นึกว่าแค่แสงจากสายฟ้าก็ทนไม่ได้ ไม่ใช่แสงอาทิตย์สักหน่อย” เกรเทลเริ่มร่ายเวทย์รักษา พร้อมๆ กับช่วยถ่ายพลังให้อีกฝ่าย เท่าที่เธอจำได้ พี่เขย...พ่อของมัวร์ก็ไม่ถึงกับไม่สู้แสงขนาดนี้นี่ นอกจากแสงที่ค่อนข้างบริสุทธิ์อย่างแสงอาทิตย์แล้ว จะแสงจากเวทย์หรือสายฟ้าก็ทนได้หมด หนังหนากว่าลูกสาวมากมายหลายเท่า

“คนอื่นคงทนได้ แต่ข้าทนได้แค่แสงจากเทียนเท่านั้นล่ะค่ะ” อีกฝ่ายตอบ “ข้าเกิดมาอ่อนแอ ถ้าไม่ใช่แสงจากเทียนโลหิตก็สู้แสงอื่นไม่ได้เลย กระทั่งแสงสลัวที่ผ่านหมอกนอกปราสาทก็ยังโดนนานไม่ได้”

“...เจ้าอยู่มาได้ยังไงจนป่านนี้เนี่ย”

เกรเทลไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย เธอได้ยินบ้างว่าหลานคนนี้ร่างกายอ่อนแอ ก็นึกว่าแค่ป่วยง่ายกว่าคนปกติเท่านั้น ไม่นึกว่าที่ร่างกายอ่อนแอนี่จะเพราะไม่ค่อยสู้แสงนี่เอง

“แต่ตอนเจ้าไปปราสาทข้าครั้งก่อนโน้นก็ยังเห็นเล่นดี๊ด๊ากับยามโครงกระดูกหน้าปราสาทอยู่นี่”

“ปราสาทท่านเป็นข้อยกเว้น” หลานสาวตอบ สภาพแผลเริ่มดูดีขึ้นมาหน่อยแล้ว แต่ตายังอาบเลือดมองไม่เห็นอยู่ “ปราสาทท่านเต็มไปด้วยไอมืด มีแต่ความมืดอัดแน่น ต่อให้มีแสง แสงก็สกปรกเกินกว่าจะบาดผิว...”

“มัวร์!”

จู่ๆ ก็มีเสียงร้องเรียกอย่างตระหนก ส่งผลให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง หันควับไปยังต้นเสียงแม้อาการตัวเองจะยังไม่หายดี

“ดูเหมือนจะฟื้นแล้ว” จอมมารว่า แล้วถอยห่างออกมา ปล่อยให้ปีศาจรับใช้ที่เพิ่งฟื้นปราดไปดูเจ้านาย

แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เมื่อเกรย์ฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นเจ้านายบาดเจ็บ เขาก็ไม่มีสติไปสนใจว่าเหตุใดนายหญิงเกรเทลถึงมาอยู่ที่นี่ พุ่งความสนใจไปยังร่างของลามัวร์น่าที่เต็มไปด้วยบาดแผล (ที่ใกล้จะหายแล้ว) ทันที ปีศาจรับใช้หนุ่มประคองเจ้านายตัวเองอย่างระมัดระวัง ยกแขนตัวเองขึ้นกัดจนเลือดซึม แล้วยื่นมันเข้าไปจ่อที่ปากของเจ้านาย

“ดื่มนี่ครับ”

เพราะหลับยาวมาเกือบห้าสิบปีบวกกับได้รับบาดเจ็บ พอลามัวร์น่าได้กลิ่นเลือด สัญชาตญาณดิบที่อยู่ในสายเลือดก็ถูกกระตุ้น ปากอ้าออกกว้างราวกับไม่มีขากรรไกร เขี้ยวเล็กๆ สองซี่ยืดยาว ก่อนจะจัดการ ฝังเขี้ยวคมๆ ลงที่แขนของปีศาจรับใช้ทันที

เกรเทลได้ยินเสียงดูดเลือดสวบๆ ท่าทางเอร็ดอร่อย จอมมารนิ่วหน้าเล็กน้อยอย่างรู้สึกเจ็บแทน ถึงอย่างไรเกรย์ก็ยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย สิ่งที่ฉายวับในดวงตามีแต่ความเป็นห่วงจากก้นบึ้งหัวใจ อย่างที่จอมมารใส่ให้ในตอนที่หลอมเขาขึ้นมาเป็นของขวัญ

พอได้เลือดมาหล่อเลี้ยง บาดแผลที่อยู่บนตัวของลามัวร์น่าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ตาที่มีเลือดซึมก็หายเป็นปกติ ทิ้งไว้แต่คราบเลือดบนแก้มที่ถูกปีศาจหนุ่มค่อยๆ เอาแขนเสื้อเช็ดให้อย่างเบามือ

เธอรอจนหลานสาวจัดการ ‘กินข้าวเช้า’ เสร็จแล้ว จึงค่อยเอ่ยปากถาม

“เกรย์ เกิดอะไรขึ้น”

เจ้าของชื่อเหมือนจะเพิงนึกขึ้นได้ว่านายหญิงยังอยู่ตรงนี้ สีหน้าน้ำเสียงจึงเปลี่ยนมานอบน้อมทันที

“เรียนนายหญิง ก่อนหน้านี้มีปีศาจชั้นสูงกับกองทัพจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาที่ปราสาท อยากได้คนเผ่าโบราณไปเป็นของสังเวยแก่ราชาปีศาจ ข้าเลยกางพลังป้องกันคุณหนูแล้วสู้กับมัน ขับไล่มันออกไปได้ แต่ข้าอ่อนหัดนัก สู้เสร็จก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ได้แต่จำศีลไปทั้งแบบนั้น ทำให้คุณหนูต้องตกใจ...”

“อ้อ...” จอมมารพยักหน้า แม้จะแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินชื่อราชาปีศาจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “ข้าได้ยินเหมือนกันว่าจะถึงงานครบรอบห้าพันปีของราชาปีศาจ พวกปีศาจที่อยากได้หน้าต้องอยากหาของกำนัลดีๆ ไปถวายอยู่แล้ว”

ถึงเจ้าตัวจะไม่ค่อยอยากได้เท่าไรก็เถอะ...

“เอาข้าไปสังเวยแล้วมันมีดียังไงหรือคะ” ลามัวร์น่าถามแทรกขึ้น

“เผ่าโบราณอย่างเจ้ามันขึ้นชื่อเรื่องตายยาก ถ้าไม่เจอแสงแดดเข้าจังๆ จะเอาอาวุธหน้าไหนมาฟันก็ไม่ตายทั้งนั้น ต่อให้โดนดาบอาบพลังศักดิ์สิทธิ์ของอัศวินแห่งแสงฟันคอขาด ก็ยังงอกใหม่ขึ้นมาได้” แล้วจอมมารผู้ช่ำชองเรื่องมนตร์พิธีกรรมก็ใช้นิ้วจับคาง “รู้สึกว่า...ถ้ากรีดเลือดเผ่าโบราณมาวาดค่ายมนตร์ชั้นสูง ประกอบพิธีในวันจันทร์สีเลือดแล้วกินหัวใจสดๆ พร้อมทั้งเครื่องใน นอกจากอำนาจจะเพิ่มพูน อายุจะยืนยาว ยังทำให้ต้านต่ออาวุธทุกชนิด ยิ่งอาวุธประเภทแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปีศาจเกลียดนักยังฟันไม่เข้า ก็สมควรอยู่หรอก...”

พอได้ยินวิธีประกอบพิธีแล้ว ลามัวร์น่าก็ร้องอึ๋ย อดท้วงไม่ได้ “ราชาปีศาจก็อำนาจมากอยู่แล้ว จะเอาข้าไปกินอีกทำไม”

เกรเทลยักไหล่ “เจ้าตัวเขาไม่อยากได้หรอก ยังอยู่ได้เป็นหมื่นปี จะอยากอายุยืนขึ้นไปอีกทำไม แถมอยู่มาตั้งห้าพันปี พลังปีศาจในตัวบวกกับพลังจากมงกุฎราชาทบกันก็มากพอจะสูสีกับจอมมารอย่างข้าอยู่แล้ว เก่งสุดในแดนปีศาจ แต่เก่งไปกว่านี้ก็ไม่เห็นจะได้อะไร ยังไงก็ไม่มีทางเก่งไปกว่าข้าอยู่ดี”

“งั้นท่านน้าก็เก่งกว่าราชาปีศาจอีกน่ะสิ!”

“แหงสิ!” จอมมารแหวเข้าให้ “ข้าเป็นผู้ดูแลพลังมืดทั้งหมดบนโลกนะ! พลังของข้าคือพลังมืดทั้งหมดที่อยู่บนโลก ต่อให้จอมมารนั่นเอาเผ่าเจ้ามาฆ่ากินอีกสักสิบคนจนอำนาจสูงขึ้นพรวดๆ อำนาจที่มันได้ ข้าก็ได้ด้วย เป็นตำแหน่งที่ขี้โกงดีไหมล่ะ”

ลามัวร์น่าพยักหน้าหงึกๆ

“นายหญิงรู้จักกับราชาปีศาจด้วยหรือครับ” เกรย์อดถามไม่ได้

“ก็รู้” จอมมารนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเรื่องนั้นเถอะ ข้าว่าช่วงนี้ไปอยู่ปราสาทข้าก่อนไหมล่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าจะพ้นพิธีครบรอบของราชาบ้านั่น ไม่งั้นได้มีปีศาจตัวอื่นพุ่งมาจับเจ้าไปสังเวยอีกแน่ๆ”

ข่ายอาคมที่กางคุ้มปราสาทก็โดนปีศาจชั้นสูงนั่นพังจนเละแล้ว จะกางใหม่เดี๋ยวก็โดนพังอีก หนีไปอยู่ปราสาทจอมมารดูจะลอดภัยกว่า เพราไม่ว่าปีศาจหน้าไหน ก็ไม่หาญกล้าพอจะบุกรังของจอมมารแน่ๆ!

ลามัวร์น่าเองก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดี แต่เธอยังกังวล

“แล้วปราสาท...”

ถ้าปีศาจตัวอื่นมาจับเธอแล้วไม่เจอจะอาละวาดพังมันรึเปล่า ยังไงที่นี่ก็เป็นบ้านเธอนะ

“ข้าจะทิ้งปีศาจสองสามตัวไว้เฝ้า กางเวทย์คลุมให้ใหม่ด้วย...”

“แต่ท่านพ่อท่านแม่...”

ยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องอยู่เลย

“ปล่อยให้โดนจับไปก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนโดนควักหัวใจแล้วอาละวาดพังปราสาทราชานั่นจนเละ”

“แล้วข้างล่าง...”

โดนปีศาจบุกซะเละเทะ พวกตุ๊กตารับใช้ก็โดนพังซะเละ แบบนี้ใครจะคอยปัดกวาดปราสาทไม่ให้ฝุ่นจับล่ะ...

เกรเทลถอนหายใจ “เอาเป็นว่า ข้าจะกางเวทย์ป้องกัน กำบัง อำพราง บลาๆๆ ไว้ แล้วจะทิ้งปีศาจสักโขยงหนึ่งไว้เฝ้าปราสาทเจ้า จะใช้มันให้เก็บกวาด ทำความสะอาด ซ่อมแซมปราสาท แล้วก็อารักขาพ่อแม่เจ้าให้ดีๆ ถ้ามีปีศาจหน้าไหนบุกมา ข้าจะใช้พลังเขียนแปะติดหน้าปราสาทตัวเป้งๆ เลยว่า ‘ถ้าใครกล้าบุกที่นี่ เท่ากับหาเรื่องจอมมาร อยากตายก็เข้ามา’ พอใจรึยัง!?”

หลานสาวตัวดีพยักหน้าทันที

“งั้นไปกันเลยค่ะ”