Missing Pieces


บทที่ 1 - The First Light

แดดยามเช้าอาบไล้โรงเรียนกว้างใหญ่อย่างอ่อนโยน แสงจางส่องกระทบผิวน้ำสีเขียวของสระบัว แลเห็นฝุ่นละอองล่องลอยในไอแสง เด็กหนุ่มสาวในเครื่องแบบเดียวกันเดินหนาตาเพียงบริเวณประตูทางเข้าและโรงอาหารที่ส่งเสียงจอแจจนจับใจความไม่ได้ ขณะที่อาคารเรียนที่อยู่สองข้างฝั่งสระบัวยังดูเงียบสงบเหมือนยังไม่ตื่นจากการหลับใหล

คินวางข้าวของลงบนม้านั่งหินข้างสระบัวก่อนทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง น้ำหนักของสัมภาระไม่ได้เพิ่มจากวันอื่น ระยะทางจากรถไฟฟ้ามาโรงเรียนก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ แต่สายตาที่มองเห็นโลกใบนี้ผิดแปลกไปทำให้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง

เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาเข้าแถว ฝ่ามือเรียวรูดซิปกระเป๋ากีตาร์ หยิบเครื่องดนตรีในนั้นออกมา ปลายนิ้วด้านขยับดีดโน้ตสองสามตัวแผ่วเบาราวเอ่ยคำทักทาย

เขาชอบความเป็นส่วนตัวของห้องเรียนมากกว่า ทว่าในเวลาเช่นนี้ คนที่มาถึงแล้วหากไม่ฟุบหลับกับโต๊ะก็คงอ่านหนังสือหรือทำการบ้านตามแบบฉบับที่เด็กเตรียมเข้ามหาลัยควรทำ หากไปเล่นกีตาร์บนนั้นคงเป็นการรบกวน ทั้งการได้จ้องมองระลอกคลื่นเล็กบนผิวน้ำพลิ้วไหวตามลมหรือการแหวกว่ายของสัตว์น้ำข้างใต้ก็ให้ความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง

ปลายนิ้วซ้ายขยับกดคอร์ดเปลี่ยนไปตามช่องเป็นจังหวะลื่นไหลเสมือนการก้าวเดิน ท่วงทำนองเนิบช้าเปลี่ยวเหงาแผ่วเบาราวสายลมจางริมชายหาด เด็กหนุ่มเปล่งเสียงร้องด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

“เด็ก ๆ มีเกมหนึ่งเกมที่ทุกคนไม่ว่าใครเราต่างมีความสุขใจ ได้ซ่อนหากันไปกันมา...”

บทเพลงที่บรรเลงเอง กลับพาเขาย้อนกลับไปยามบ่ายของวันที่รู้สึกว่าผ่านเลยมานานมากแล้ว วันนั้นท้องฟ้ามืดครึ้มแต่ฝนก็ยังไม่ตกลงมา เขาเดินตามหลังเพื่อนสองคนข้างหน้า รับฟังบทสนทนาโดยไม่พูดอะไร เพียงฮัมเพลงกับตนเองแผ่วเบา

“...เราปิดตายืนนับถอยหลังค่อยลืมตาขึ้นมาต่างก็มีมุมลับที่เก็บซ่อนไว้ให้เราตามหา...”

ขณะที่ปล่อยตัวจมลงกับความว่างเปล่าของตัวเองเช่นนั้น

น้ำเสียงใสแผ่วเบาก็ดังขึ้น“พี่คิน”

สำหรับเขามันชัดเจน ดุจระฆังเงินที่สั่นพ้องขึ้นตรงหน้า

บทเพลงเปลี่ยวเหงาในใจพลันสงบนิ่ง

เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนตามธรรมชาติมัดรวบตามกฎโรงเรียนทั่วไปส่งยิ้มดีใจมาให้ ดีใจแต่ก็มีความเคอะเขินในแววตา เขารู้จักเธอมานาน ไม่ได้บังเอิญเดินสวนกันแบบนี้ก็นานแล้วตอนนั้นเขาสงสัย ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของชีวิต เขาลืมรอยยิ้มนี้ไปได้ยังไงกันนะ?

เหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความฝันเนิ่นนานด้วยเพียงเสียงเรียกแผ่วเบาเหมือนคนหลงทางอยู่กลางทะเลมืดมิดได้พบกับแสงบางอย่างตอนที่ลมหายใจใกล้หมดลงคินออกแรงเฮือกสุดท้าย เอื้อมมือออกไป

โดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นกับดัก อาจเป็นเพียงแสงของสัตว์ใต้น้ำบางชนิดที่หักเหส่องกระทบผลึกหิวแวววาวที่อยู่ลึกลงไปเบื้องล่าง

ไม่มีแสงสว่างแท้จริงอยู่ในที่แห่งนั้น

กว่าที่เขาจะรู้สึกตัว ก็จมลึกลงไปเกินกว่าจะย้อนกลับแล้ว

“...จนวันที่เราเติบโตมันไม่ได้ต่างกันไปถ้าอยากจะเจออะไรต้องเสาะหาให้ได้มันมามีสิ่งเดียวที่ฉันนั้นอยากจะพบทุกช่วงเวลา...”

เปล่งเสียงร้องอย่างเลื่อนลอยขณะที่ตัวเองหลุดลอยไปในความทรงจำไกลโพ้น

“”ก็คือความรักแท้ที่แอบซ่อนไว้ให้เราตามหา””

เสียงหนึ่งพลันดังสอดประสาน เสียงที่มีพลังและมีทั้งความร่าเริงของคนร้องกับความเหงาของบทเพลงผสานกันอย่างลงตัว ฉุดกระชากคินออกจากห้วงภวังค์ ปลายนิ้วยังคงดีดสายกีตาร์ เด็กหนุ่มหันมองด้านข้างที่ซึ่งผู้มาใหม่ยืนอยู่ นัยน์ตาสีนิลสองคู่สบประสาน

เด็กสาวตัวสูงเมื่อเทียบกับผู้หญิงไทยทั่วไป ผมสีน้ำตาลเข้มมัดรวบยาวเกือบถึงกลางหลัง ริมฝีปากอวบอิ่มขยับเป็นรอยยิ้มทั้งยังคงเปล่งเสียงร้องเพลง เบื้องหลังมีเด็กสาวผิวสีแทนอีกคน ทว่าเขาไม่อาจละสายตาจากคน ๆ นี้ได้เลย

“...ไปหลบอยู่ตรงที่ใด ใจฉันนั้นอยากจะรู้...”

เสียงของเธอสอดรับกับท่วงทำนองทุ้มต่ำของเขาอย่างลงตัว

สิ่งที่ช่วงชิงสายตาเขาไป ไม่ใช่ว่าเธองดงามจนใคร ๆ ต้องหยุดมอง เพียงความสวยงามเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรียกให้คินสนใจได้

แต่เป็นเพราะแสงที่ส่องประกายอยู่กึ่งกลางร่างกาย

คินหยุดเล่นกีตาร์โดยไม่รู้ตัว ได้แต่นิ่งมองแสงนั้น

ประกายสีม่วงแกมน้ำเงินหมุนวนอยู่ภายใน ทว่าสิ่งที่โดดเด่นออกมากลับเป็นสีแดงสว่างสดใส เหมือนคริสตัลสีแดงที่โอบล้อมแสงสีม่วงน้ำเงินหลากไล่โทนสีผสมผสานกัน ทำให้สีแดงที่เห็นนั้นไม่ได้ร้อนแรงแสบตา ทว่าเป็นสีแดงแกมม่วงหรือแดงอมชมพู ถึงอย่างนั้นกลับส่องประกายสว่างอย่างดึงดูด

เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีสีอะไรอยู่ภายใน แต่ก็รู้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามกับความสว่างของคนตรงหน้า ทว่าคินกลับหลงใหล เสมือนมีแรงดึงดูดประหลาด รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้ามีบางสิ่งที่เขาขาดหาย เหมือนได้พบท่วงทำนองที่ขาดไป และยามนี้กำลังประสานกับบทเพลงของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

“อ้าว หยุดเล่นแล้วเหรอ ขอโทษที่มาขัดจังหวะ ไม่กวนละ”เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มพลางหันกลับไป คินเพิ่งสังเกตว่าเธอก็สะพายกีตาร์เช่นกัน

“ไม่ทันแล้วเจ้อัญเจ้ไปกวนเขาแต่แรกทำไมเล่า”เด็กสาวผิวสีแทนว่าก่อนผงกหัวเล็ก ๆ ให้เป็นเชิงขอโทษ แล้วเดินจากไปพร้อมกัน

อัญ...?

แม้สองคนนั้นจะเดินห่างไปหลายก้าวแล้ว คินยังไม่อาจละสายตาจากแผ่นหลังนั้นได้ หากปล่อยให้จากไปเช่นนี้โดยไม่ทำอะไร เขาจะได้พบเธออีกไหม

หากเธอมีหนึ่งในชิ้นส่วนที่เขาตามหาอยู่จริง ๆ เขาจะได้รับมันมาได้อย่างไร

“เจ้ว่าใช่พี่เขาป้ะวะ”

ถึงจะห่างออกไปแล้ว แต่เสียงพูดที่ไม่ได้เบาเท่าไหร่ ทั้งรอบกายก็มีแต่ความเงียบ ทำให้คินได้ยินค่อนข้างชัดเจน

“อยากรู้ก็ไปถามดิ”

“บ้าเหรอ เดี๋ยวพี่เขาก็ด่าให้หรอก ไปกวนเขาขนาดนั้นแล้ว”

“ไม่ด่าหรอก เออแต่ถ้าเป็นเค้าจริง ๆ ก็ดีนะ”

คินเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

คนในบทสนทนานั่น...หมายถึงเขาหรือเปล่านะ?