Missing Pieces


บทนำ


ความฝัน?

คินพบตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความมืด มีดวงแสงเล็ก ๆ นับสิบส่องประกายรอบตัวอย่างพร่าเลือน คล้ายว่าสายตาของเขาเห็นทุกสิ่งหม่นมัวไป แม้วงแสงเหล่านั้นจะหลากเฉดสีนับร้อยจนชวนแสบตา ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด ราวกับถูกความอ่อนโยนของความมืดโอบกอดไว้

นัยน์ตาสีดำปรือปิดลงนานหลายวินาที ก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งทุกอย่างที่เห็นยังคงไม่ต่างจากเดิม

ร่างผอมกวาดมองรอบตัว ทุกสิ่งดูไม่แตกต่าง มีเพียงความมืดและดวงแสงที่ราวกับจะไร้จุดสิ้นสุด ไม่อาจเอื้อมคว้าสิ่งใด หรือบ่งบอกทิศทาง เขาตัดสินใจออกเดิน ไม่รู้นานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าไม่มีประโยชน์ แม้เดินไปไกลเท่าไหร่ก็ไม่อาจแยกแยะความต่างจากวินาทีแรกที่รู้สึกตัว

เขาหยุดฝีเท้าพลางนึกย้อนกลับไป ความทรงจำสุดท้ายคือการนั่งนิ่งในห้องนอน จมอยู่ในความเศร้าของการลาจากและความว่างเปล่าจากการไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรจากนั้น...คินนึกไม่ออก จำไม่ได้ว่าตัวเองเพียงหลับไปหรือทำสิ่งใดลงไป

ขณะที่คลื่นความเศร้าที่ถาโถมจนราวกับร่างกายจะแตกสลายในก่อนหน้านี้ที่จำได้ ในเวลานี้กลับไกลห่างออกไป จนเหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านเลยไปนานมากแล้วแม้กระทั่งในตอนนี้ ที่นี่ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและจะทำอย่างไรต่อไป เขาก็ไม่รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ความจริงคือเขาไม่รู้สึกอะไรเลย

เคยได้ยินใครเอ่ยไว้เมื่อนานมาแล้ว เมื่อคนเราเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ใครคนนั้นจะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เหมือนยามได้รับบาดแผลสาหัส ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความด้านชาหรือบางทีเขากำลังเป็นแบบนั้น?“อยากได้ความรู้สึกกลับมาหรือเปล่า?”

เสียงที่ไม่อาจแยกแยะชายหญิงดังขึ้นจากความว่างเปล่า เด็กหนุ่มหันมองทุกทิศทางฉับพลัน แต่ก็ไม่พบกับสิ่งใด“ตามหาความหมายของชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่”เมื่อตามหาไปก็ไม่พบ คินเพียงหยุดยืนนิ่ง ทอดสายตามองเบื้องหน้า เสมือนว่าคู่สนทนาอยู่ตรงนั้น“เมื่อตื่นขึ้น นายจะมองเห็น ‘สี’ ของคนอื่น ตามหาชิ้นส่วนที่จะมาประกอบเป็นจิตใจของนายให้เจอ แน่นอนว่าไม่ได้มีชิ้นเดียว และแม้จะมองเห็นหรือหาเจอ ก็ใช่ว่านายจะคว้ามันมาได้ง่าย ๆ”

“ทำไม”เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้า“เพื่อตัวนาย และคนอื่น”“คนอื่น?”คินเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไม่มีคำตอบใดกลับมา

“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ?”เพราะโลกนี้ไม่น่ามีสิ่งใดที่ได้รับมาฟรี ๆยังคงมีแต่ความเงียบ บางทีคู่สนทนาคงจากไปไกลแล้ว“คุณเป็นใคร”

เด็กหนุ่มพลันรู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉุดกระชากอย่างรุนแรง ดวงแสงนับร้อยตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแถบแสงยาว ก่อนทุกสิ่งจะกลายเป็นความมืดเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองเห็นเพดานห้องนอนในห้องมืดที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คินลุกขึ้นนั่ง แสงจากภายนอกส่องผ่านหน้าต่างที่หัวเตียง โต๊ะเขียนหนังสือสีขาวเต็มไปด้วยข้าวของโดยเฉพาะหนังสือและเครื่องเขียนนับไม่ถ้วน กีตาร์โปร่งสีน้ำตาลอ่อนวางพิงผนังถัดออกไป ทุกสิ่งยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

มีเพียงความรู้สึกของเขาที่กลายเป็นความด้านชาเหมือนในฝันเมื่อครู่ ต่างจากความว่างเปล่าที่พร้อมจะกัดกินลบเลือนตัวเองให้จางหาย เป็นเพียงความเมินเฉยที่ไม่รู้สึกกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นก้มมองร่างกายตัวเอง ไม่มีสิ่งใดแตกต่างไป

คินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ยังมีเวลาอีกราวสามชั่วโมงกว่าจะต้องตื่นไปโรงเรียนในยามเช้า เพื่อเริ่มต้นชีวิตเดิม ๆทว่าบางที เช้าวันนี้อาจมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปก็ได้

ความคิดสุดท้ายก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นครั้งที่สองของคืนนั้นกลับกลายเป็นความจริงคินแบกกระเป๋าเรียนและกระเป๋ากีตาร์ขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนทุกวันหลังอุ่นอาหารสำเร็จรูปกินในหอเป็นอาหารเช้า ทว่าไม่ทันก้าวพ้นหอพักดี เขาก็กลับชะงักฝีเท้า เมื่อสายตาพลันเหลือบเห็นเด็กหนุ่มแปลกหน้า

เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาในชุดนักเรียนไม่ต่างจากตัวเขาเอง ทว่าสีส้มเข้มผสมผสานกันในหลากเฉดสีที่มีความสดใสต่างกันออกไปเล็กน้อยแต่แบ่งแยกได้นับสิบจนไม่อาจบรรยายออก ปรากฏอยู่กลางลำตัวของเขา ไม่ใช่ลวดลายของเสื้อ ทว่าราวกับแสงนั้นผุดขึ้นจากภายใน ไม่ต่างจากอวัยวะที่มองเห็นได้ชัดอย่างจมูกหรือปาก

คินเบิกตาจ้อง จนอีกฝ่ายหันมามองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วเดินจากไปเงียบ ๆ เมื่อเขาไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง อีกฝ่ายคงคิดว่าเขาเพียงบังเอิญเหม่อมองไปทางนั้นพอดี


ร่างผอมเรียกสติกลับคืนมา เร่งฝีเท้าเดินออกจากตึก เพื่อไม่ให้สายไปกว่านี้ แม้จะอีกนานกว่าจะถึงเวลาเรียน ทว่าเขาไม่ชอบความวุ่นวายบนรถไฟฟ้านัก ยิ่งไปสายก็ยิ่งเจอคนเยอะ


ไม่ทันเดินไปถึงชานชาลารถไฟฟ้าก็พบกับคนแปลกหน้านับสิบ แต่ละคนล้วนมี ‘สีง’ที่ต่างกันออกไป ไม่อาจแยกแยะได้โดยง่ายเหมือนในภาพวาด ความจริงเขาเพิ่งรู้ว่ามีเฉดสีเยอะถึงเพียงนี้อยู่บนโลก ไม่อาจอธิบายได้เพียงคำว่า ‘เข้ม’ ‘อ่อน’ หรือ ‘สด’ หากต้องอธิบายภาพที่เห็น คินก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ถ้อยคำแบบไหน หรือจะมีคำใดใช้บรรยายให้เข้าใจได้หรือเปล่า


ไม่ทันขึ้นถึงรถไฟฟ้าด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มรู้สึกเวียนหัววูบ แม้แสงที่เห็นเหล่านั้นจะไม่อาจทำให้แสบตาแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับรู้สึกตาลาย ในหัวปวดแปลบคล้ายข้อมูลจำนวนมากไหลเข้ามาในเวลาอันสั้น


ถึงจะรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นก็สวยงามและน่าสนใจดี แต่คินรู้สึกได้ถึงหายนะในชีวิตต่อจากนี้