บทที่ 2 : เรื่องมันเริ่มจากการไปดูตัว

“แต่งงาน?”

ฉันทวนคำพูดที่เพิ่งได้ยิน มองหน้ามนุษย์ชายหญิงสองคนที่หน้าตาเหมือนพ่อกับแม่ แต่พูดจาเหมือนเอเลี่ยนที่คุยกันคนละภาษา รู้สึกได้ว่าคิ้วตัวเองกระตุก

“ฝ่ายโน้นเป็นผู้มีพระคุณของบ้านเรา พ่อกับแม่ก็เลยเกรงใจไม่กล้าปฏิเสธออกไป แล้วเขาก็ยื่นเงื่อนไขมาว่าให้แต่งแค่ 3 ปีด้วย ถ้าอยู่กันไม่รอด…ก็อนุญาตให้หย่ากันได้ทันที”

ฉันถลึงตาใส่บุพการีตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่าประโยคที่ได้ยินจะทำให้สบายใจเพิ่มขึ้นมาแม้แต่น้อย นึกสงสัยในใจว่าคนประเภทไหนกันที่จะคิดเงื่อนไขบ้าบอแบบนี้ออกมาได้

“แต่ผู้มีพระคุณที่ว่าน่ะ เป็นคุณปู่แก่ๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

ฉันถาม ตามที่เข้าใจมา คนที่ช่วยคอยช่วยอุปถัมภ์บ้านเรามาตลอดหลายปีเป็นเศรษฐีแก่ๆ คนหนึ่ง ที่ดันเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนกับคุณตาของฉัน

“ใช่ แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องไปแต่งงานกับเขาหรอกนะ คนที่แกจะแต่งด้วยน่ะ…หลานชายของเขา”

คำอธิบายของพ่อทำให้ฉันเลิกคิ้วขึ้น อีกฝ่ายก็ถูกจับคลุมถุงชนเหมือนกันสินะ แต่นั่นก็ทำให้คำถามประหลาดๆ ผุดขึ้นมาในหัวกะทันหัน

“แล้วหลานปู่คนนั้นไม่มีปัญญาหาเมียเองเหรอคะ ถึงต้องมาใช้วิธีแบบนี้น่ะ”ดูเหมือนฉันจะถามตรงไป เพราะแม่รีบโน้มตัวจากโต๊ะอีกฝั่งมาตีฉันที่แขน“ดูพูดจาเข้า เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ” แม่ดุฉันพร้อมกับทำตาขวาง“ที่โรงเรียนเขาไม่รู้เหรอ ว่าตัวจริงแกมีนิสัยแบบนี้น่ะ”

ฉันพูดสิ่งที่คิดออกไป คงไม่มีผู้ชายปกติคนไหนยอมให้ตัวเองถูกจับคลุมถุงชนอีกแล้วในยุคสมัยนี้ นอกจากจะมีลักษณะผิดปกติตามกฎการคัดเลือกตามธรรมชาติ ถึงต้องยืมมือคนอื่นมาช่วยคัดให้

“ว่าไปนั่น…แม่ไปเห็นมาแล้ว หลานชายเขาหล่อมากเลยนะ การศึกษาก็ดี มารยาทก็ดี…บางทีก็คิดว่าดีเกินไปสำหรับแกด้วยซ้ำ”

พ่อถามขึ้นบ้าง พลางส่ายหน้าแบบปลงๆ ภาพพจน์ของฉันที่สร้างเอาไว้เพื่อหลอกลวงประชาชนและทำให้การใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนง่ายขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับนิสัยจริงอย่างสิ้นเชิง

“หนูว่าผู้ชายคนนั้นคงหน้าตาดูไม่ได้ หรือไม่ก็มีปัญหาบางอย่าง…นี่พ่อกับแม่อยากจะให้คนแบบนั้นมาแต่งเป็นเขยบ้านเราจริงเหรอ”

ฉันเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ยิ่งประโยคสุดท้ายที่บอกว่า ‘ดีเกินไป’เพราะถึงนิสัยส่วนตัวจะไม่น่าดึงดูดนัก แต่ภาพลักษณ์ที่ฉันสร้างไว้ก็เป็นอุดมคติของหลายๆ คนเลยนะ“เป็นไปไม่ได้หรอก หนูว่าต้องพิการหรือเป็นโรคอะไรบางอย่างแน่ๆ” ฉันยังเถียงต่อ

“พิกงพิการอะไร มาโคโตะคุงน่ะครบ 32 แบบสมบูรณ์ทุกประการ แล้วก็ดูไม่เหมือนคนป่วยด้วย”ตอนนี้ฉันได้ชื่อคู่กรณีมาแล้ว เหมือนจะชื่อ ‘มาโคโตะ’ สินะ“…อาจจะป่วยเป็นโรคที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าก็ได้” ฉันสันนิษฐาน ทำท่ายกนิ้วเคาะริมฝีปาก

“โรคอะไรของแก” พ่อถามขึ้นบ้าง

“ไม่รู้สิ…อาจจะเป็นหมันหรืออะไรแบบนั้นก็ได้”

และเป็นอีกครั้งที่แม่โน้มตัวมาฟาดมือใส่ฉัน

แต่รอบนี้แรงกว่าเดิมจนต้องยกมือขึ้นมาลูบป้อยๆ พร้อมทำสีหน้าหงุดหงิด“ปากเสีย” คุณนายบ้านชิรายูกิบ่น“ถ้ายังไง…จะลองไปดูตัวกันก่อนมั้ยล่ะ ฝ่ายนั้นก็เหมือนจะเปิดกว้างให้แกได้ตัดสินใจเหมือนกัน”

พ่อเอ่ยข้อเสนอ แต่ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทันที“ไม่ดูอะไรทั้งนั้น หนูไม่แต่งหรอก”“นี่แกเคยมีความคิดจะรักษาหน้าพ่อกับแม่บ้างมั้ย…ซาโฮะ?”

เอาอีกแล้ว ทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจ พ่อก็จะงัดไม้แข็ง ทำเป็นพูดด้วยท่าทีจริงจังแล้วมองฉันด้วยสายตากดดันจนทำให้รู้สึกผิด แต่ครั้งนี้บอกเลยว่าไม่ได้ผลหรอก“พ่อกับแม่นั่นแหละ เรื่องนี้มันบ้าบอไร้สาระแค่ไหน ได้ฟังที่ตัวเองพูดออกมาบ้างรึเปล่า หนูยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ด้วย จะให้ไปแต่งงานอยู่กินกับผู้ชายได้ยังไงล่ะ”คุณผู้ชายกับคุณนายบ้านชิรายูกินิ่งไปเลย ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองหน้าฉัน

“ก็ได้…ถ้าพูดถึงขนาดนั้น แกไม่ต้องไปดูตัวก็ได้”นี่สิ ถึงจะพอพูดกันรู้เรื่องหน่อย ฉันพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องชะงักไปอีกรอบเมื่อจู่ๆ พ่อก็ยื่นคำขาดออกมา“แต่ต่อไปนี้แกจะไม่ได้ค่าขนมสักแดงเดียวจากฉัน”บ้าจริง! ฉันคิดว่าพวกเราโอเคกันแล้วซะอีก“ไปเถอะซาโฮะ ถ้าไม่พอใจอะไรยังไงค่อยลองคุยกับฝั่งโน้นดูอีกทีก็ได้”

แม่เริ่มเกลี้ยกล่อม มันเป็นกลยุทธ์การเลี้ยงลูกของบ้านนี้เขาล่ะ ถ้าพ่อเล่นบทโหดใส่ฉัน แม่ก็จะทำตัวเป็นแม่พระทันที แต่ก็มีจุดประสงค์เดียวกันทั้งคู่นั่นแหละฉันถอนหายใจ ไม่ได้รู้สึกผิดหรือต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่ค่าขนมที่มันค้ำคอก็ทำให้ต้องยอมอ่อนข้อ“ไปก็ได้…แต่ไม่แต่งนะ บอกไว้เลย”----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

และแล้วก็มาที่นี่จนได้ ฉันคิดพร้อมกับเหลือบมองร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นตรงหน้า บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวและสวยงามทีเดียว เหมาะที่จะคุยเรื่องยัดเยียดความเป็นฝั่งเป็นฝาให้ลูกสาวอย่างฉันที่สุด


พ่อในวันนี้สวมชุดสูทที่ลงทุนไปขุดค้นมาจากก้นตู้เสื้อผ้า ส่วนแม่ก็อยู่ในชุดเดรสที่ตัดเย็บอย่างประณีต ฉันเองก็ถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องชนิดที่ว่าถ้าเปลี่ยนชุดก็แทบจะเดินเข้าพิธีแต่งงานได้เลย


“เชิญด้านในเลยค่ะ” พนักงานในชุดกิโมโนเดินออกมาเรียกพวกเรา


ฉันสาวเท้า พยายามสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพื่อรักษาหน้าพ่อกับแม่


หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือรักษาค่าขนมรายเดือนของตัวเอง


ในที่สุดพนักงานของร้านก็พาเรามาถึงห้องส่วนตัวด้านในสุด ก่อนจะเลื่อนประตูเปิดออกแล้วผายมือให้พวกเราเดินเข้าไป


กลางห้องมีโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่มีสำรับมากมายจัดเรียงอย่างสวยงามตระการตา เฉพาะค่าอาหารมื้อนี้คงพอจ่ายค่าเทอมฉันได้เลยทีเดียว ก่อนสายตาจะไปสบเข้ากับชายชราท่าทางใจดี และข้างๆ กันนั้นก็มีว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตของฉันนั่งอยู่


ทันทีที่เราเข้ามานั่งประจำที่เรียบร้อย ฉันก็ลอบมองคู่กรณีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นหมันหรือป่วยเป็นโรคอะไรรึเปล่า แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าหมอนี่หน้าตาดีเข้าขั้นวิกฤติทีเดียว ถ้าเดินควงเขาในเมืองมีหวังสาวๆ จิกฉันตาถลนแน่ๆ


ผู้ชายตรงหน้าก็เหมือนจะรู้ตัวว่าฉันมองอยู่ เขาหันมาขยับรอยยิ้มอ่อนโยนให้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ เพราะรอยยิ้มนั้นเหมือนเวลาฉันยิ้มให้เพื่อนที่โรงเรียนไม่มีผิด


หรือว่าหมอนี่จะเป็นประเภทเดียวกับฉันกันนะ


“ซาโฮะจังสินะ” คุณปู่เพียงหนึ่งเดียวเอ่ยถาม ฉันเลยต้องหันไปส่งยิ้มแล้วพยักหน้าทักทาย


พ่อจะเห็นมั้ยนะว่าฉันมีมารยาท จะเห็นมั้ยนะว่าฉันรอความเมตตาในเดือนถัดไปอยู่


“นี่ สึบุรายะ มาโคโตะ…หลานชายฉันเอง”


ฉันทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าแกล้งทำ ก่อนจะก้มหัวทักทายเขาเช่นกัน


“ชิรายูกิ ซาโฮะค่ะ”


แนะนำตัวบ้าง ไหนๆ จะเจอกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว บอกชื่อไว้ก็คงไม่เสียหาย


“เป็นเด็กที่สวยเหมือนคุณน้าจริงๆ ด้วยนะครับ”


ว่าที่เจ้าบ่าวของฉันพูดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าแม่ขยับตัวพร้อมกับทำท่าทางเขินอาย


“ก็พยายามเลี้ยงดูให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นแหละจ้ะ”


ฉันเหลือบมองคุณนายบ้านชิรายูกิ อดขนลุกไม่ได้เมื่อได้ฟังประโยคชวนอ้วกแบบนั้น นี่แม่ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าหมอนี่มันแกล้งชมไปอย่างนั้นแหละ


หลังจากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มคุยกันอย่างออกรส ส่วนฉันก็จ้วงอาหารมูลค่าเท่าค่าเทอมเข้าปากเงียบๆ ลอบมองคู่กรณีที่ส่งยิ้มมาให้เป็นระยะ แม้เขาจะทำท่าทางเป็นมิตร แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ชอบพออะไรฉัน ที่สำคัญฉันก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เองก็ไม่พอใจที่ถูกจับคลุมถุงชน


แบบนี้ก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ฉันคงไม่ต้องผันตัวจากนักเรียนดีเด่นไปเป็นแม่บ้านเร็วๆ นี้หรอก นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้น


“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า”


ผ่านไปเกือบชั่วโมงพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มหันกลับมาสนใจพวกเรา ฉันยืดตัวตรงเล็กน้อย นึกดีใจที่จะได้กลับบ้านไปนอนพักผ่อนเสียที มาดูตัวบางทีก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอาหารที่นี่อร่อยเป็นบ้าเลย


“เป็นยังไง เจอกันแล้ว…คิดว่ายังไงบ้าง”


คุณปู่บ้านสึบุรายะถามขึ้น จงใจหันมามองทางฉันเป็นพิเศษ


“วันนี้หนูสนุกมากค่ะ คุณมาโคโตะก็ดูเป็นคนดี แต่พวกเรา…”


“พวกเราอยากแต่งงานกันครับ”


ฉันยิ้มค้าง คำพูดปฏิเสธที่อุตส่าห์เรียบเรียงในหัวกลายเป็นม่ายทันที นี่ฉันหูฝาดไปรึเปล่านะ“ดีมาก…เป็นผู้ชายก็ต้องหนักแน่นแบบนี้ล่ะ”


ผู้อาวุโสที่สุดในห้องเอ่ยชมหลานชายพร้อมกับตบหลังเขาด้วยความภูมิใจ โดยมีพ่อกับแม่ของฉันหัวเราะผสมโรงไปด้วย ไม่ได้สนใจหน้าตาของฉันที่ชะงักค้างไปเรียบร้อย


ฉันหุบปาก มองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมูที่กำลังจะถูกนำเข้าโรงฆ่าสัตว์ ทุกคนที่นี่เป็นบ้ากันหมดแล้วหรือไงนะ หรือเพราะอากาศมันร้อน


“พูดอะไรของคุณน่ะ”


กัดฟันถาม พยายามรักษามารยาทโดยการเรียกคนตรงหน้าว่า ‘คุณ’ เผื่อเขาจะปราณี ยอมรับว่าดื่มกินของมีพิษเข้าไป เลยละเมอพูดจาเพ้อเจ้อแบบเมื่อกี้ออกมา


“ก็ได้ยินชัดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”


คนหน้าหล่อทำเป็นถามกลับ ฉีกยิ้มที่ฉันมั่นใจว่าเป็นยิ้มเพชฌฆาต เป็นรอยยิ้มของนักแสดงที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี


“แต่งงานกันเถอะ…ชิรายูกิ ซาโฮะซัง”


ฉันในวัย 17 ปีที่ถูกขอแต่งงานกะทันหันอ้าปากค้างทันที


บ้าไปแล้ว! นี่ฉันถูกหลอกเข้ามาที่นี่สินะ ทุกคนวางแผนกันไว้หมดแล้วงั้นเหรอ ที่บ้าที่สุดก็คือคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย กลับเป็นฝ่ายเดินตามเกมโดยไม่ปริปากบ่น


หรือหมอนี่จะมีความผิดปกติอะไรเหมือนที่ฉันเคยเดาไว้


สึบุรายะ มาโคโตะ…นายเป็นหมันจริงๆ ใช่มั้ย!?