บทที่ 3

“ฉันอยากให้คุณปฏิเสธงานแต่งงานของเราค่ะ”

นั่นเป็นคำพูดของฉัน ที่ใส่ท่าทีจริงจังลงไปจนเต็มเปี่ยม หลังจากกลับจากดูตัวฉันก็แอบนัดว่าที่เจ้าบ่าวตัวเองออกมา เพื่อบอกสิ่งที่รบกวนจิตใจ

“ปฏิเสธ? ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”

มาโคโตะที่สวมหน้ากากเจ้าชายตอบกลับมา พลางหยิบกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทางน่ามอง“เพราะฉันไม่อยากแต่งงานกับคุณไงล่ะ”

ฉันประกาศกร้าว เชิดหน้าขึ้นเพื่อแสดงให้รู้ถึงการต่อต้าน ตอนนั้นฉันคิดว่าหมอนี่ยังมีจิตใจเป็นมนุษย์มนาอยู่บ้าง ถ้าเห็นผู้หญิงปฏิเสธก็น่าจะยอมรับแต่โดยดี แต่ก็นะ ฉันคิดผิดมหันต์เลยล่ะ

“แต่ผมอยากแต่งนี่”

เขาบอกก่อนจะขยับรอยยิ้ม ดูดีเป็นบ้า อันนี้ยอมรับ แต่ก็น่าขนลุกไปพร้อมๆ กัน

“ทำไมคุณถึงอยากแต่งงานกับฉันล่ะ”

คือฉันรู้ว่าตัวเองดูดีในระดับหนึ่ง แต่ประเภทที่เห็นหน้ากันครั้งเดียวแล้วเกิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันนี่ก็ออกจะน้ำเน่าไปหน่อย ฉันไม่เชื่อในแนวคิดนั้นเลยถามออกไป

“เพราะเป็นความต้องการของคุณปู่”

คำตอบนี้ทำคิ้วฉันกระตุก นี่ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วใช่มั้ย?

ไหนแม่บอกว่าหมอนี่มีการศึกษาไงล่ะ

“เหตุผลแค่นั้นไม่พอหรอกนะคะ เราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ยังไง ฉันกับคุณแทบจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ”นี่ฉันเตือนด้วยความหวังดีเลยนะ พนันได้ว่านายไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันแน่นอน“แล้วต้องรู้จักกันแค่ไหน ถึงจะแต่งงานกันได้ล่ะ”

บ้าไปแล้ว ถามแบบนี้จะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยแต่งงานซักหน่อย

“พวกเราไปกันไม่รอดหรอกค่ะ…ได้โปรดยกเลิกการแต่งงานด้วย”

ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้น่าสงสารที่สุด ความสามารถนักแสดงที่ฝึกฝนมาหลายปีในวันนี้ได้ถูกขุดเอามาใช้จนหมดสิ้น แต่มันจะไปได้ผลได้ยังไง ในเมื่อหมอนี่ก็เป็นนักแสดงเหมือนกัน

“ไม่ล่ะ…ถ้าซาโฮะจังอยากยกเลิก ก็ไปบอกพวกผู้ใหญ่เองเถอะ”

ฉันนิ่วหน้าทันที นี่จงใจพูดกวนประสาทกันใช่มั้ย

ถ้าฉันบอกไปแล้วมันเปลี่ยนอะไรได้ ฉันจะบากหน้ามาขอร้องนายทำซากอะไร

“…คุณมาโคโตะเองก็ดูท่าทางเหมือนจะมีแฟนอยู่แล้ว”“ผมไม่มีแฟนหรอก”คนหน้าหล่อแทรกขึ้น ฉันทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งทำจริงๆ ไม่ได้แกล้งแต่นั่นก็ยิ่งทำให้เรื่องราวมันซับซ้อนขึ้นไปอีก ฉันจะขุดเหตุผลอะไรมาอ้างต่อไปดีเนี่ย“ทำไมคุณปู่ถึงอยากให้คุณแต่งงานกับฉันล่ะคะ”

อันนี้ฉันสงสัยจริงๆ ถ้าอยากให้หลานตัวเองแต่งงานก็ดูท่าว่าจะมีตัวเลือกเยอะแยะอยู่ทำไมต้องมาเลือกฉัน หรือว่าจับฉลากได้กัน“เพราะคุณปู่รู้จักกับครอบครัวชิรายูกิมานาน ถึงจะไม่ร่ำรวยแต่ก็ขยันหมั่นเพียร แล้วที่สำคัญซาโฮะจังก็ประวัติดี เป็นเด็กน่ารัก…คุณปู่อยากได้หลานสะใภ้แบบนี้มานานแล้ว”

สึบุรายะ มาโคโตะตอบพร้อมกับทำสีหน้าชื่นชม ทอดสายตาอ่อนโยนมายังฉัน“แล้วคุณล่ะ ทำไมต้องยอมทำตามคำสั่งด้วย”ฉันรีบยิงคำถาม ไม่อย่างนั้นอีกสักพักต้องวิ่งไปอ้วกแน่ เป็นเหตุผลที่น่าขนลุกอะไรอย่างนี้“เพราะผมเป็นหลานที่ดี”อ้าว หมอนี่หลอกด่าว่าฉันเป็นลูกไม่รักดีสินะ ถึงไม่ยอมทำตามคำสั่งพ่อแม่น่ะ

“ฉันเชื่อว่าคุณต้องมีเหตุผลส่วนตัวอย่างอื่น”ฉันถามกลับ ทำท่าเหมือนอ่านใจคนได้ไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นคนไม่คิดอะไรเลยก็ได้“…ซาโฮะจังเป็นเด็กฉลาดนะ”ว่าที่เจ้าบ่าวชมฉันอีกรอบ พร้อมกับเอามือประสานกันตรงหน้าเหมือนจะพูดเรื่องสำคัญ

“ความจริงแล้วคุณปู่น่ะ…มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”คำตอบดังกล่าวทำให้ฉันเลิกคิ้วขึ้นโดยพลัน จากนั้นก็ยกมือขึ้นเบรกกะทันหัน“ไม่ต้องเล่าต่อแล้วค่ะ”มีคำกล่าวว่าคนไม่รู้คือคนไม่ผิด แต่ที่ฉันรู้คือหมอนี่กำลังจะดราม่าใส่ฉัน ด้วยเรื่องคุณปู่สุดที่รักกำลังป่วยเป็นโรคร้ายแรงหรืออะไรทำนองนั้น ถ้าฉันฟัง ฉันก็จะรู้ แล้วถ้าฉันยังปฏิเสธ คราวนี้ฉันจะกลายเป็นคนผิดโทษฐานใจไม้ไส้ระกำขึ้นมาทันที

“…ครับ”

อีกฝ่ายตอบรับ แล้วก็แอบยิ้มเหมือนจะหัวเราะฉัน

“ฉันมาที่นี่เพื่อยืนยันว่าการแต่งงานของเราทั้งสองคน…จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด”

ฉันบอก เน้นเสียงด้วย ให้รู้กันไปว่าหมอนี่ไม่มีทางได้มาเป็นสามีตามกฎหมายของฉันหรอก

“แบบนั้นจะดีหรือครับ…การแต่งงานครั้งนี้น่ะ จริงๆ เป็นซาโฮะจังที่จะได้รับประโยชน์เสียด้วยซ้ำ”

ยอมรับเลยว่าฉันชะงักและประหลาดใจมาก รีบถามสวนไปโดยไม่เสียเวลาคิด

“หมายความว่ายังไง…คะ”

เกือบลืมใส่คำแสดงมารยาท ยังดีที่ความเป็นนักแสดงมันฝังรากลึกลงไปในดีเอ็นเอ

“รู้ใช่มั้ย…ว่าพวกเราสามารถหย่ากันได้ภายใน 3 ปีน่ะ”

สึบุรายะ มาโคโตะกล่าวเสียงเรียบ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ฉันพอจะรู้มาเหมือนกัน เลยพยักหน้าตอบกลับไป

“แต่หลังจากหย่า สินสมรสทั้งหมดรวมถึงบ้านที่เป็นเรือนหอของพวกเราจะถูกโอนให้ครอบครัวชิรายูกิทั้งหมด…เรื่องนี้คงยังไม่รู้สินะ”

ฉันนิ่งไปทันที นึกทบทวนในหัวว่าทรัพย์สมบัตินั่นมันตีค่าได้ประมาณเท่าไหร่กัน

เหมือนว่าที่สามีฉันจะอ่านสีหน้าออก เพราะเขาตอบกลับมาแทบจะทันที

“รวมๆ แล้วก็ประมาณ 50 ล้านเยนน่ะ”

คราวนี้ฉันรู้สึกได้เลยว่าเผลอทำสีหน้าตกใจออกไป เพราะผู้ชายตรงหน้าหัวเราะเบาๆ

“แต่ตามกฎหมาย…ของพวกนี้มันจะต้องแบ่งกันครึ่งๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก ฉันรู้ ฉันเรียนมา

“ใช่…แต่นี่เป็นข้อตกลงเพิ่มเติมที่คุณปู่เสนอให้พ่อกับแม่ของซาโฮะจังน่ะ”

นาทีนั้นฉันกระจ่างเลย นี่พ่อแม่คิดจะขายฉันกินงั้นเรอะ!!?

“ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ”

ตัดสินใจตอบเสียงเรียบ ใครมันจะไปลงทุนในสิ่งที่คนอื่นได้ประโยชน์กัน

“…ผมจะไม่ล่วงเกินซาโฮะจังหรอกนะ”

คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยของผู้ชายตรงหน้าทำให้ฉันขมวดคิ้ว

เหมือนเขาจะรู้ เพราะเสียงทุ้มอธิบายต่อ

“ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วย เราจะอยู่กันแค่ในนามเท่านั้น แล้วทรัพย์สมบัติทั้งหมด…ผมจะโอนให้เป็นชื่อ ชิรายูกิ ซาโฮะ…ไม่ใช่ชื่อพ่อกับแม่ของซาโฮะจัง”

คราวนี้ฉันนิ่งไปเลย นี่เท่ากับว่าทรัพย์สมบัติ 50 ล้านเยนจะกลายเป็นของฉันงั้นเหรอ!?

“แล้วคุณจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้กันล่ะ”

ต้องสละชีวิตชายโสดมาอยู่กับเด็กนักเรียนนิสัยทรามอย่างฉัน แถมยังต้องเสียมรดกของตระกูลมูลค่ามหาศาล ทำไมหมอนี่ถึงยอมตกลงโดยง่ายกันนะ

“ไม่ได้อะไร ผมแค่ทำตามคำสั่งคุณปู่ บอกแล้วว่าผมเป็นหลานที่ดี”

คำตอบน่าถีบถูกส่งมาอีกรอบ ฉันไม่ไว้วางใจผู้ชายคนนี้เลยให้ตายเถอะ หมอนี่ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีปัญญาหาคำตอบ

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงินนะคะ”

เป็นไง ดูสวยมีราคาเลยล่ะสิ ฉันแอบเชิดหน้าด้วยตอนที่พูด

สึบุรายะ มาโคโตะนิ่งไปเล็กน้อย

“ผมไม่ได้เจตนาจะหมายถึงแบบนั้นเลยนะครับ”

ทำไมหมอนี่ถึงทำท่าเหมือนโกรธ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายโดนดูถูกน่ะ

“ขอโทษค่ะ ฉันก็พูดแรงไปหน่อย”

เอาเถอะ ตามใจเขาหน่อย ฉันเป็นฝ่ายมาขอร้องนี่

“อย่างน้อยก็เก็บไปคิดเถอะ...การแต่งงานนี้เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ลองไปคุยกับพ่อแม่ของตัวเองดูอีกทีนะครับ”

คิ้วฉันตระตุกอีกรอบ บอกเลยว่าไม่พอใจ

หมอนี่พูดเหมือนกับว่าฉันไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้เองได้ เลยไล่ให้กลับไปคุยกับผู้ปกครองดูก่อน นี่มันดูถูกกันชัดๆ

“การแต่งงานของฉัน…ฉันจะเลือกเจ้าบ่าว และเวลาที่เหมาะสมเองค่ะ”

ฉันพูดเสียงเย็น ดูเป็นสาวน้อยที่มีอุดมการณ์

“ถ้าซาโฮะจังตกลง…ผมจะเพิ่มให้เป็น 60 ล้านเยน”

โอเค คราวนี้ฉันทำตาโตอีกรอบ หมอนี่ตีความคำพูดแบบผิดๆ ได้ยังไงกันเนี่ย!?

“ฉันไม่ได้…”

“70 ล้านเยน”

ไปกันใหญ่แล้ว ฉันไม่ใช่ผักปลาในตลาดที่จะมาต่อรองราคานะ!

“หยุดเถอะค่ะ ฉัน…”

“80 ล้านเยน”

ฉันสุดจะทน ยกมือขึ้นกอดอก จ้องหน้าเขาด้วยท่าทีจริงจัง

ก่อนจะพูดจาแสดงจุดยืนอันชัดเจนของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ

“ถึงจะเพิ่มเป็นเท่าไหร่ฉันก็…”

“100 ล้านเยน”

ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบ แทบจะได้ยินเสียงลมพัด

แต่ฉันไม่ใช่คนหน้าเงิน ไม่ได้เห็นแก่ได้ เป็นผู้หญิงที่ตีมูลค่าด้วยทรัพย์สินไม่ได้

ฉันก็เลยตอบเขากลับไป

“ฉันจะลองเก็บไปคุยกับพ่อแม่ดูอีกทีก็ได้ค่ะ”

โอเค บางทีฉันอาจจะหน้าเงินนิดหน่อย

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------