ชีวิตอันน่าเบื่อ ตอนที่ 1 : จอมมารกับอัศวินจอมมารอาละวาด...

ความเดือดร้อนเริ่มปรากฏในทุกหย่อมหญ้า...แม่น้ำแห้งขอด ผืนนาแห้งแล้ง สัตว์เลี้ยงล้มตาย โรคร้ายเริ่มระบาด และเมื่อความเลวร้ายมาจนถึงจุดๆ หนึ่ง พระราชาก็มีคำสั่งให้อัศวินแห่งแสงออกเดินทางเพื่อปราบจอมมาร

อัศวินแห่งแสงคือตัวแทนของแสงสว่างและความยุติธรรม ยามออกเดินทางก็มีขบวนพาเหรดเดินส่งตั้งแต่หน้าปราสาทยันประตูเมือง มีขบวนทหารม้าและอัศวินประจำอาณาจักรเดินนำเป็นเกียรติ มีพระราชาออกมาอวยพรอวยชัย ประชาชนทั่วหล้าต่างสรรเสริญความกล้าหาญและคุณธรรมอันงดงาม กล้าสละชีวิตเพื่อกำจัดความชั่วร้าย และหวังให้ท่านสามารถนำความสงบสุขกลับมาสู่บ้านเมือง

และเมื่อได้เริ่มการเดินทาง อัศวินแห่งแสงก็ใช้ความกล้าหาญบุกป่าฝ่าดง และด่านทดสอบต่างๆ ที่จอมมารสร้างขึ้น ผ่านป่ามายาอันมีแต่กลลวงตา ข้ามผ่านแม่น้ำวนที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ทะเลทรายอันแห้งผากที่ร้อนแทบเจียนตาย ทุ่งน้ำแข็งกว้างสุดลูกหูลูกตาที่เพียงพลาดพลั้งนิดเดียวก็ถึงตาย ไหนจะหุบเหวไร้ก้น หมู่บ้านกินคน...ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ สารพัดอุปสรรค์ที่ล้วนแต่ทดสอบความอดทนและคุณธรรมของผู้กล้า

จนในที่สุด...เมื่ออัศวินแห่งแสงในสภาพสะบักสะบอมได้มายืนตระหง่านอยู่หน้าปราสาทของจอมมารด้วยจิตใจที่ถูกขัดเกลาจนกล้าหาญ สองมือกุมดาบ ฟันฝ่ามังกรที่เฝ้าปราสาท บุกเข้าไปยังห้องชั้นในสุด สถานที่ที่จอมมาร จ้าวแห่งความมืดได้ประทับอยู่บนบัลลังก์ยามเมื่ออัศวินแห่งแสงผลักบานประตูเข้าไป ร่างอันตระหง่าน งามสง่า เต็มไปด้วยอำนาจของจอมมารก็นั่งบนบัลลังก์สีนิล เหยียดยิ้ม ไขว้ขา นิ้วทั้งห้าเคาะอยู่บนแท่นวางแขน ราวกับรอการปรากฏตัวของเขาอยู่

เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมมารผู้ชั่วร้ายโฉดชั่ว อัศวินแห่งแสงที่ฟันฝ่าอุปสรรค์นานับประการจนได้มายืนอยู่จุดนี้ก็ลากร่างของตัวเองไปยืนหน้าบันไดบัลลังก์ เหยียดร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือดขึ้นตรง ยกดาบในมือขึ้นชี้ไปยังบัลลังก์ ประกาศศักดาความท้าทายเต็มที่

“เมื่อไรเจ้าจะเลิกใช้วิธีนี้เรียกข้ามาสักที เกรเทล!”น้ำเสียงอันกราดเกรี้ยวของผู้กล้าที่สู้ทนเก็บรักษาประโยคนี้ไว้ตั้งแต่จอมมารเริ่มอาละวาดจนกระทั่งฝ่าด่านทั้งหลายจนได้มาเจอเจ้าตัวเป็นๆ ทำให้จอมมารเพียงเลิกคิ้ว ริมฝีปากสีแดงสดแย้มพรายชวนลุ่มหลง เต็มไปด้วยเสน่ห์อันเปี่ยมล้นของปีศาจ แต่มันใช้ไม่ได้กับอัศวินแห่งแสงผู้รู้ไส้รู้พุงเกินกว่าจะหลงเสน่ห์ใบหน้าต้องสาปนั้น

“ข้าเบื่อ”ประโยคอันสุดแสนจะเต็มไปด้วยเหตุผลทำให้อัศวินแห่งแสงผู้มาพร้อมความกราดเกรี้ยวเหี่ยวแฟบลงทันใด จนใจจะโต้ตอบ ลดดาบลงแทบลากพื้น แล้วพูดอย่างอ่อนใจ

“ข้าฆ่าเจ้ามาสิบเก้ารอบแล้วนะ ข้าสิต้องเบื่อ นี่ข้าต้องสู้อุตส่าห์บุกป่าฝ่าสารพัดด่านของเจ้าเพื่อมาฆ่าเจ้าให้คืนชีพมาอาละวาดอีกรอบเนี่ยนะ”

“ข้าเบื่อ” จอมมารยืนยันคำเดิม คราวนี้เพิ่มการพยักหน้าเพื่อยืนยันประโยคของตัวเองด้วย “นอกจากอาละวาดให้ผู้กล้ามาปราบแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรทำนี่”

อัศวินแห่งแสงผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและความดีงามเหลือกตาใส่

งั้นก็ช่วยไปหาอะไรอย่างอื่นที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่เดือดร้อนจะได้ไหม! พับนกกระดาษก็ได้ ถักไหมพรมก็ได้ เต้นฮูลาฮูปลดพุงก็ได้ อะไรก็ได้ที่มันสร้างสรรค์มากกว่านี้!

“ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ข้าไม่ว่างเล่นกับเจ้าแล้วนะ” อัศวินแห่งแสงทำสีหน้าซังกะตายยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะประกาศก้อง “ข้ากำลังจะแต่งงาน”

ถ้อยคำนั้นเรียกสายประหลาดใจจากอีกฝ่ายได้ทันที“กับใคร?”

“คนรักข้า” อัศวินตอบหนักแน่น ท่าทีเบื่อหน่ายเต็มกำลัง “ข้าจะสี่สิบแล้วนะ จริงๆ ควรจะแต่งกันได้ตั้งนานแล้วถ้าไม่ต้องออกทำภารกิจปราบปีศาจแทบทุกเดือน ช่วยปล่อยๆ ข้าให้ปลดเกษียณแบบสงบสุขสักทีเถอะ”

“แบบนี้ข้าก็ไม่มีเพื่อนเล่นจนกว่าจะแต่งตั้งอัศวินแห่งแสงคนใหม่สิเนี่ย!” จอมมารยกมือกุมขมับ เริ่มเดือดร้อนขึ้นมาทันทีทันใด อัศวินแห่งแสงคนปัจจุบันได้ยินแล้วก็ชักละเหี่ยใจแทน

“อัศวินแห่งแสงก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นเจ้าอยู่แล้ว!”

“ไม่!” จอมมารผู้โฉดชั่วที่สุดในพิภพกรีดร้องเสียงแหลม “นอกจากเป็นจอมมารให้คนมาฆ่า ข้าก็ไม่มีอะไรทำแล้วนะ!”

ถ้าต้องมานั่งหง่าวรอจนกว่าผู้กล้าแห่งแสงคนใหม่จะโตมันน่าเบื่อจะตายชัก! อาชีพจอมมารทำไมมันน่าเบื่ออย่างงี้นะ!

“เจ้าก็ควรไปหาความบันเทิงอื่นมาเล่นได้แล้ว!” อัศวินแห่งแสงว้าก ประสาทกินขึ้นทันใด แต่จากการที่รู้จักกันมายี่สิบกว่าปี ฆ่ากันไปไม่รู้กี่รอบ รู้ไส้รู้พุงดีว่าจอมมารรุ่นนี้โรคจิตขนาดไหน สุดท้ายเขาก็ขี้เกียจจะเถียง ชูดาบขึ้น “มาทำเรื่องให้จบๆ กันเถอะ เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายไหม”

หลังจากฆ่ากันไปสิบเก้ารอบ...จริงๆ ไม่ต้องสิบเก้ารอบหรอก แค่รอบที่สาม จอมมารก็เบื่อที่ต้องมาเล่นบทจอมมารโฉดชั่ว ปล่อยพลังอำนาจมืด สาธยายความชั่วร้ายที่คิดครองโลกแล้ว ดังนั้นพอรอบที่สี่ เธอก็เปลี่ยนมาชวนอัศวินแห่งแสงที่เพิ่งฝ่าฟันสุดยอดด่านนรกและมังกรเฝ้าปราสาทมาหมาดๆ จิบชาสักสองสามแก้ว ไม่ก็อยู่เป็นเพื่อนคุยสักสองสามชั่วโมง ก่อนจะยอมให้อีกฝ่ายเอาดาบจิ้มแต่โดยดีไม่มีขัดขืน

คราวนี้ ดูเหมือนอัศวินแห่งแสงจะไม่ค่อยมีอารมณ์จิบชาและอยู่คุยเป็นเพื่อนสักเท่าไร จอมมารจึงทำหน้าเหม็นเบื่อ“ข้าอยากกินหน่อไม้ขาว” จอมมารเบะปาก “เจ้าไปบอกอัศวินคนต่อไปด้วยนะว่าให้เอาหน่อไม้ขาวมาด้วย”“ได้” อีกฝ่ายพยักหน้า อย่างขี้เกียจต่อปากต่อคำ กระชับดาบในมือ เดินขึ้นบันไดที่สลักจากหินอ่อนตรงเข้าไปยังบัลลังก์สีดำจอมมารยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงบนบัลลังก์ ตาคมเรียวได้รูปปราดมองอัศวินแห่งแสงที่ดาหน้าย่างสามขุมเข้ามาอย่างเบื่อหน่าย รอจนเมื่อเขามาหยุดอยู่หน้าบัลลังก์ ชันเข่า โค้งคำนับลงแทบเท้า ทำความเคารพอีกฝ่ายผู้เป็นถึงตัวแทนแห่งความมืดผู้คงสมดุลของโลกใบนี้อย่างให้เกียรติตามที่คุณธรรมในใจของ 'อัศวินแห่งแสงผู้ดำรงไปด้วยศักดิ์ศรีและความยุติธรรม' เห็นว่าสมควรทำอีกฝ่ายพยักหน้ารับการเคารพนั้นเบื่อๆ อย่างไม่ค่อยสนใจนัก รอจนดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีอาบชำระมากมายตั้งแต่ก่อนออกเดินทางก็ถูกชูขึ้นสูง คมดาบตกกระทบแสงไฟ และก่อนที่ผู้ถือจะทันได้เหวี่ยงมันปักเข้าที่ร่างของจอมมารผู้ชั่วร้าย อัศวินแห่งแสงก็ชะงัก ชูดาบค้างไว้อย่างนั้น แล้วทำหน้าจริงจัง“ไม่เอาตายแล้วปราสาทถล่มอีกนะ ข้าไม่อยากวิ่งหนีตายอีกแล้ว”“ก็ได้” จอมมารรับคำง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เงื้อค้างไว้เลยตวัดวูบ ทีเดียว ทิ่มเข้ากลางอกจอมมาร แล้วรัศมีความบริสุทธิ์อันเจิดจ้าของดาบแผ่กำจาย กัดกินร่างที่เต็มไปด้วยความมืดของจอมมารจนถึงแก่ชีวิตไม่มีเลือด มีแต่ควันดำที่แผ่ออกมาจากรอยแผล จากนั้นร่างอันงดงามราวต้องสาปที่เปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งความมืดของจอมมารก็สลายไป เหลือเพียงแค่กลิ่นอายแห่งความมืดอัศวินแห่งแสงมองบัลลังก์สีดำที่ว่างเปล่าแล้วก็ถอนหายใจ ถวายการคำนับความว่างเปล่านั้นอีกครั้งอย่างให้เกียรติผู้ที่เคยนั่งอยู่ แล้วหมุนตัวแกรก...กึก....ครืน...เศษฝุ่นตกลงมากระทบใบหน้า มีหินก้อนเล็กร่วงติดมาด้วยเล็กน้อย ก่อนตามด้วยเสียงอันคุ้นเคยที่ดังสะเทือนลั่น ปราสาทเริ่มสั่น อัศวินแห่งแสงที่บัดนี้เสียรู้เสียแล้วก็ตาเหลือก สอดดาบเข้าฝักแล้วรีบวิ่ง เผ่นหนีก่อนที่ปราสาทจะถล่มลงมาทับเขาตายซี้แหงแก๋อยู่ตรงนั้น“จอมมารเฮงซวย! ไหนว่าจะไม่ถล่มแล้วไง!”เฮ้ๆ ข้าเป็นจอมมารนะ! มันต้องชั่วช้าต่ำทรามแบบนี้สิถึงจะสมเป็นจอมมาร!