ตอนที่ 1 : รับน้อง

ตอนที่ 1

1 June 1995

เธอมาพร้อมสายฝนพรำจางๆ สะพายเป้ใบใหญ่

…กระดานสำหรับวาดภาพ และกล่องสีเก่าๆ

เธอคือคนแปลกหน้าที่ฉันเพิ่งได้เห็นครั้งแรก…ก็ในวันนั้นเองตอนที่พวกเรานั่งร้องเพลงเชียร์อยู่ในหอประชุมแม้ข้างนอกมีฝน…เธอก็ไม่สนใจที่จะเดินเข้ามาเธอยืนอยู่ใต้ต้นไม้…ใต้ร่มเงานั้นสายตาของเธอมองขึ้นไปเบื้องบนกลีบตาเบบูญ่าร่วงโรยลงมาปรกใบหน้าเธอ...


“ใบหญ้า” เธอคือ…ช่องว่างที่หายไปสองวันในสมุดเช็คชื่อการรับน้อง

สาวผิวสีน้ำผึ้ง…ตัวผอมสูง ผมซอยสั้นยาวปรกคอกำลังยืนเก้กัง สอดสายตามองผ่านฝูงคนมากมายที่เดินขวักไขว่กันทั่วห้องโถงหอประชุม

“น้องๆ ปี 1 ใช่มั้ย มานี่เลย มานี่เร็วๆ”เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกล

เนยมองเห็นเพื่อนๆปี 1 หลายคนกำลังจัดแถวตามกลุ่มอยู่ การปฐมนิเทศรับน้องครั้งนี้…ทางมหา’ลัยให้นักศึกษาใหม่เดินทางมาก่อนเปิดเรียนสามวัน เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องและเข้าพิธีบายศรีกับรุ่นพี่ เนยสังเกตเห็นว่าทุกคนสะพายเป้ใบใหญ่ บางคนแต่งตัวเป็นผู้ดี…บางคนแต่งตัวเซอร์แบบศิลปิน…บ้างก็แต่งตัวบ้าหลุดโลกถึงกับเอาหมวกฟางมาใส่เพื่อให้เข้ากับกางเกงขาก๊วยสีตุ่น แต่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเด็กหัวศิลป์ อะไรที่เขาหยิบจับหรือเลือกมาใส่ ล้วนมีความหมายบ่งบอกความตัวตนของพวกเขาที่ต้องการจะสื่อออกมาให้สังคมได้รับทราบ

เนยเดินช้าจนรุ่นพี่รำคาญต้องกระชากแขนแรงๆให้เดินเร็วขึ้น เธอโดนจับยัดเข้าไปในแถวหลังสุดเนื่องจากมาสาย แต่การที่ต้องอยู่หลังสุด ทำให้โลกทัศน์ของเธอกว้างไกลขึ้น การเฝ้าสังเกตผู้คนเป็นเรื่องสมควรทำเมื่อเราเหยียบย่างเข้าไปในต่างถิ่น เพราะจะทำให้ปรับตัวง่ายขึ้น…พ่อเคยสอนไว้อย่างนั้น

เนยไม่กล้าสบตาหรือยิ้มให้ใครมากนักกลัวว่าจะโดนเชิดใส่ และหากเป็นอย่างนั้น เธออาจหงุดหงิดไปทั้งวันก็เป็นได้ เธอไม่ชอบการโดนเหยียดหยามดูถูก แม้จะมาจากผู้ที่มีสถานภาพสูงกว่าก็ตาม

ระหว่างกำลังมองหาคนที่ดูว่าน่าจะเป็นมิตรเพื่อเข้าไปตีสนิทด้วย เสียงหวานๆของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“เธอ เธอจ๊ะ ขอนั่งด้วยคนนะ”

สาวน้อยหน้าตาน่ารัก ผิวขาวและดูบอบบางราวกระดาษเป็นคนถามเนย เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง และค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ค่อยเหมือนคนเรียนศิลปะคนอื่นๆ

สาวน้อยคนนั้น…มองป้ายชื่อของเนย ก่อนจะยื่นมาให้เช็คแฮนด์

“ยินดีที่ได้รู้จักนะเนย เราชื่อโบว์จ๊ะ”

ระหว่างที่ยื่นมือไปสัมผัสพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกความเป็นมิตร เนยมีลางสังหรณ์ว่านับจากนี้…โบว์จะกลายเป็นเพื่อนคนสนิทของเนยในช่วงเวลาตลอด 4 ปี...ซึ่งก็กลายเป็นความจริงเสียด้วย

เมื่อได้รู้จักโบว์แล้ว เนยก็ลอบสังเกตเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นบ้าง และสะดุดตาสองสาวที่ดูเหมือนจะโดดเด่นและเป็นที่จับตามองของรุ่นพี่ นั้นก็คือเมธาวี และ ปลายฟ้า

เมธาวีสวยโดดเด่นที่สุดในรุ่น...ด้วยรูปร่างที่สูงเพรียวเหมือนนางแบบ ผิวที่ขาวเหมือนหยก ผมดำยาวตรงเรียบกริบกับใบหน้าเรียวรูปไข่  ตา จมูก ปาก…สมบูรณ์แบบไม่มีตกหล่นตามแบบฉบับนางเอกหนังฮ่องกง

แม้เมธาวีจะสวยกว่าคนชื่อปลายฟ้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ใบหน้าของปลายก็ดูหวานใสไร้เดียงสาเหมือนนางในวรรณคดี ดวงตาโต ผมดำมันขลับ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ยิ้มสวยและออกจะยิ้มง่ายกว่าเมธาวี

ปลายเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ชนิดที่ใครคุยด้วยก็คุยตอบ เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมรุ่นทุกคน...รวมทั้งเนย หลังจากคุยอย่างฉาบฉวยในวันแรก

และในขณะที่เนยกำลังสนทนากับปลายเรื่องโรงเรียนที่จบมา เสียงของอิ๋วก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

อิ๋ว…เป็นสาวตัวเล็กผู้บ้าอำนาจ ใช้มาดทอมวางท่าเสียงดัง…กร่างไปทั่ว มีงานที่ไหน อิ๋วขอเสนอตัวเป็นแม่งานร่ำไป อาจเป็นเพราะเธอสนิทกับรุ่นพี่ เลยได้ขึ้นเป็นรองประธานรุ่น

อิ๋วมาวันแรก เสียงนินทาก็ระงมไปทั่ว เนื่องจากเป็นคนที่พยายามทำตัวเด่นจนเกินไป แต่พวกผู้ชายกลับชื่นชมอิ๋วมาก บอกว่าเป็นผู้หญิงที่ดูฉลาด มีความเป็นผู้นำกล้าแสดงออก แต่เนยคิดว่าเหตุผลแท้จริงที่ทำให้ผู้ชายชอบอิ๋วก็คงเพราะหน้าตาที่สวยน่ารักระดับรองๆจากเมธาวีและปลายฟ้านั่นเอง

เนื่องมาจากการมีไว้ซึ่งอำนาจและการได้รู้สึกว่ายืนเหยียบอยู่บนหัวคนคือยอดปรารถนาของมนุษย์ผู้มากด้วยกิเลศ ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ หรือในวัยเตรียมตัวก่อนออกไปเป็นผู้ใหญ่อย่างเด็กมหา’ลัย การทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งชิงความโดดเด่น และเพื่อให้ได้มาซึ่งการอยู่เหนือกันและกัน ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอหากพวกคนหัวรุนแรงมารวมตัวกัน

คนที่ดูจะเสนอความคิดเห็น และเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำกิจกรรมอีกคนก็คือโอ

หนุ่มโอเป็นเด็กเรียนใส่แว่น สอบเข้ามาเป็นที่หนึ่งของคณะ มีใบหน้าเคร่งเครียด และพยายามจะส่งเสียงดังประชันความเห็นกับอิ๋วตลอดเวลา

เวลาพวกเพื่อนๆทะเลาะกันแต่ละที เนยรู้สึกเหมือนกลับเข้าไปอยู่ในยุคแห่งการเรียกร้องประชาธิปไตย ปัญญาชนผู้มากด้วยสติปัญญาและอุดมการณ์อันแรงกล้าทั้งหลายกำลังโต้เถียงกันด้วยเรื่อง…จะทำอะไรขายในนิทรรศการคืนนี้เพื่อไม่ให้วาร์กเกอร์ด่า จะย่างกุ้งเผาขาย หรือ เล่นสาวน้อยตกน้ำดีจอมผู้นำปัญญาชนอีกคนที่วางมาดนางพญา ที่เลียนแบบเมธาวีแต่หน้าตาไม่ค่อยให้คือ นิวสาวนิวมักพูดจาฉะฉานเสียงดัง วางมาดนิ่งเย็นเฉียบ ตาตรงแน่วแน่ประมาณว่าชั้นมีอำนาจจิต เวลาพูดเพื่อนจะเงียบทั้งหมดเหมือนโดนมนต์สะกด แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะ เวลาเครียดๆ หน้าตาของนิวจะเหมือนยักษ์มาก ตาแทบถลนออกจากเบ้า เพื่อนเลยกลัวกันจนไม่กล้าแทรก

วันแรกที่มาถึงมหาวิทยาลัยนั้น…ดีมถูกเกณฑ์ให้เข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆเพื่อเตรียมตัวรับน้อง  ระหว่างนั้นสังเกตว่ามีรุ่นพี่ผู้หญิงสองคนกำลังมองเขาอยู่

แล้วรุ่นพี่คนหนึ่งก็เดินเข้ามาถามว่า... “น้องๆ ชื่อพลัมใช่มั้ย”

“เปล่าครับผมชื่อดีมต่างหาก”

รุ่นพี่คนนั้นเลยหันไปถามเพื่อนว่า... “อ้าว แล้วคนไหนล่ะพลัมที่เค้าบอกว่าหล่อๆ”

จากนั้นพี่สตาร์ฟทั้งสองคนก็คุยกระซิบกระซาบกันงึมงำ ก่อนจะหันมาถามเขาอีกครั้งว่า…

“ตกลงน้องชื่อดีมใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวประกวดเดือนให้พี่หน่อยนะ”

พูดจบ…พวกรุ่นพี่ก็จดชื่อดีมลงไปในกระดาษ โดยไม่ยอมถามความเห็นเขาก่อนสักคำ

“เดี๋ยวสิครับ ผมยังไม่” ดีมพูดยังไม่ทันจบประโยค...รุ่นพี่คนนั้นก็หันไปคุยกับเพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งอยู่ข้างเขาซึ่งชื่อบอยกับโจ…ดีมรู้ได้จากป้ายชื่อที่แขวนคอเด็กปีหนึ่งไว้ทุกคน

“สองคนนี้เดี๋ยวประกวดเดือนให้พี่หน่อยนะ”

แล้วสองหนุ่มหล่อนั่นก็พยักหน้าตอบรับ...อย่างง่ายดาย

“แล้วคนชื่อพลัมอยู่ไหนล่ะเนี่ย” รุ่นพี่คนนั้นถามต่อ

“พลัม..ผมรู้จักครับ เค้าเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับผม แต่คนละห้องกัน” คนชื่อบอยรีบตอบ

“ถ้าคนชื่อพลัมมา ฝากบอกว่าช่วยลงประกวดให้เดือนหน่อยนะ” รุ่นพี่กำชับแล้วลุกเดินจากไป

“คนชื่อพลัมนี่มันหล่อมากเลยเหรอ” ผู้หญิงท่าทางเป็นทอมที่ชื่ออิ๋วพูดขึ้น....ขณะนั้นเธอนั่งอยู่ข้างๆโจ

“หล่อไม่หล่อก็ไม่รู้ แต่ว่า...ตอนอยู่โรงเรียน คนๆนี้ได้ฉายาว่าเป็นจอมฟันดาวโรงเรียน” คนชื่อโจยิ้มหวานตอบ

พอฟังดังนั้น ดีมรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเจ้าคนชื่อพลัมเลย...รู้สึกหมั้นไส้พิกล

“โน่นไง..พูดถึงก็มาพอดี” บอยชี้ไปที่ผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา

แวบแรกที่เห็น...ดีมรู้สึกว่าคนที่ชื่อพลัมเป็นคนหล่อมากจริงๆอย่างคนอื่นว่า เขาเดินมานั่งข้างดีม และหันไปยิ้มให้ บอยกับโจเล็กน้อยเพราะเคยรู้จักกัน ก่อนจะนั่งเงียบไปและไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับใครอีก

ในยามนิ่ง...เขาดูสงบราวรูปสลักหินอ่อน ไม่มีวี่แววของคนเจ้าชู้อย่างที่บอยหรือโจพูดสักนิด เพราะดีมเอาแต่นั่งจ้องพลัม...พลัมก็รู้สึกตัวว่ามีคนมอง เขาหันมามองดีมที่นั่งอยู่ข้าง จ้องตากันสักพัก  พลัมก็ยักคิ้วให้ดีมอย่างกวนตีน

ยังไม่ทันที่ดีมจะพูดอะไรกับพลัม รุ่นพี่ก็มาสั่งให้พวกผู้ชายทั้งหมดลุกขึ้นเพื่อเข้าแถวเดินไปรับน้องที่หอประชุมประจำคณะ ระหว่างทางดีมเห็นผู้หญิงร่างสูงใส่หมวก เดินอยู่รั้งท้ายขบวนแถว พร้อมคุยกับเพื่อนสาวผมยาวไม่หยุดปาก

สาวร่างสูงคนนั้นสะพายเป้ใบใหญ่เก่ากึ้ก....มีรอยสติกเกอร์ถลอกๆเขียนว่า “ของสมนาคุมจาก...ร้านเจ๊ซ้วงวีดีโอ”

เดินอยู่ดีๆเธอก็เดินสะดุดฟุตบาทหกล้ม “โอ๊ย!”

“เป็นไรมั้ย”  เพื่อนของเธอที่เป็นสาวผิวขาวหน้าตาน่ารัก..รีบเข้ามาพยุงทันที

“ไม่เป็นไร เราซุ่มซ่ามแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว” เธอหันไปหัวเราะ คงพยายามกลบเกลื่อนความอาย

เวลายิ้มดูน่ารักดี...ดีมรู้สึกถูกชะตากับเธอขึ้นมาอย่างประหลาด

เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ... “ผมช่วยถือเป้ให้มั้ย เป้คุณใหญ่กว่าคนอื่น ท่าทางจะหนัก”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ทำให้เนยหันขวับไปมอง และได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำที่มีผมสีประกายแดดอ่อนๆเฉกเช่นเดียวกับสีตา

เนยรู้สึกวูบวาบในทันทีที่เห็นเขา สำหรับผู้หญิงธรรมดาๆที่เรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอดอย่างเธอ เพิ่งเคยได้พบประสบเหตุการณ์คล้ายการ์ตูนตาหวานที่อ่านมาแต่เด็กก็ครั้งนี้เอง แล้วเขา...คนที่หยิบเป้ของเธอไปสะพายก็กลายเป็นเจ้าชายในดวงใจเธอนับตั้งแต่วินาทีนั้นเอง

ในเวลาอาหารเที่ยงของวันที่สองในกิจกรรมการรับน้องนั้น...อิ๋วจัดแจงเรื่องอาหารการกินของเพื่อนทุกคนเสร็จสรรพ...แถมยังสั่งเสียงเฉียบขาดราวกับเป็นแม่

“หวาน ปิงปอง ไปยกน้ำนะ ส่วนเธอสองสาวเอ๋อ” อิ๋วหันมาทางเนย กับ โบว์ “ไปยกน้ำมา”

นิวเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะออกความเห็นแข่งกับอิ๋ว

“ให้ผู้ชายไปยกน้ำดีกว่านะเพราะมันหนัก ส่วนผู้หญิงให้ไปเตรียม จานกับช้อนส้อม”

หวานกับปิงปองเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับนิว...แต่ไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงเท่าไหร่ ได้แต่พยักหน้าเออออตามนิวไปเรื่อย

ปิงปอง…เป็นสาวเตี้ย ใส่แว่น เป็นผู้ตามที่แสนดีของนิว นิวว่าอย่างไร เธอว่าอย่างนั้น นิวพูดอย่างไร เธอคอยพูดเสริม ในสายตาคนอื่นคงคิดว่าปิงปองชื่นชมนิว แต่ที่เนยมองเห็นไปลึกกว่านั้นคือปิงปองคงเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง กลัวไม่มีเพื่อน เลยพยายามมเข้าหาคนที่ดูมีพาวเวอร์อย่างนิว กับ อิ๋วเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าเป็นที่ยอมรับ

หวาน…สวยเหนือแสนซื่อ ขาว อ่อนหวาน ตาโต น่ารักดูน่าสงสารสุด เพราะต้องคอยทำตามที่เพื่อนสั่ง ไม่มีปากเสียงอะไรกับใคร แถมยังโดนคนขี้อิจฉาอย่างนิวคอยแขวะอีก

“กระโปรงที่หวานใส่สั้นไปนะ ดูไม่เรียบร้อย”“หวานดูเป็นคนทำอะไรชักช้าเนอะ”“หวานอย่าติดกิ๊ฟตัวนี้เลย มันไม่ค่อยเข้ากับหน้า”พอช่วงเวลาอาหารกลางวันสิ้นสุดลงรุ่นพี่ก็สั่งให้เด็กปีหนึ่งหาตัวแทนขึ้นประกวดเป็นประธานรุ่น

อิ๋ว โอ นิว ได้เสนอชื่อขึ้นประกวด พวกเขาพูดหาเสียงกันอย่างดุดันชนิดนักการเมืองบางคนยังอายว่า…เด็กที่ยังต้องขอเงินพ่อแม่กินขนมอยู่…จะตาตั้งหวังอำนาจชนิดสู้กันจนตัวตาย คำพูดเผ็ดร้อนเรียกเสียงเฮจากเพื่อนร่วมรุ่นได้ลั่น

แต่ถึงแม้ ตาอิน กับ ตานา จะแก่งแย่งปลากันขนาดไหน สุดท้าย…ปลาก็ตกไปสู่คนที่เหมาะจะเป็นเจ้าของมันมากที่สุดอยู่ดี เพราะคะแนนโหวตจากเด็ก 95 คนจาก 150 โหวตให้คุณปรีชา…หนุ่มหล่อท่าทางผู้ดีคนที่มีชื่อเล่นว่า บอย เขาเอาชนะพวกกระหายอำนาจทั้งหลายด้วยมาดสุขุม ฉลาดเป็นผู้ดีไม่โหวกเหวก โดยสายเลือดของพ่อที่เป็นนักการเมือง ทำให้บอยรู้จักวิธีการวางตัว และการใช้วาทศิลป์อันจับใจคน

อิ๋วหน้าเสียที่อดเป็นประธานเพราะเธอมั่นใจสุดๆ ด้วยเสียงเฮตอนเธอพูดปราศรัยดังกว่าคนอื่น และรู้สึกจะเป็นเสียงที่มาจากชายหนุ่มล้วนๆ ผู้หญิงได้แต่นั่งเงียบเพราะขี้เกียจโห่

แม้ไม่เป็นประธาน แต่อิ๋วก็ไม่ต้องเสียหน้ามาก เพราะถึงยังไงก็ได้ตำแหน่งรองประธานมาครองแทน

ขณะกำลังลอบศึกษาลักษณะนิสัยของเพื่อนๆอย่างสนุก สายตาเนยบังเอิญไปประสานกับหนุ่มหล่อคนที่ชื่อ…พลัม

แวบแรกที่เนยเห็นเขา เธอถึงกับตกตะลึงไปพักใหญ่ สงสัยว่ามีคนหน้าตาดีมากๆถึงขนาดนี้มาเรียนที่นี่ด้วยเหรอ

พลัมดูจะเป็นคนแบบเดียวกับเมธาวีคือเงียบและนิ่งจนหยิ่ง แววตาของเขา..ดูเย็นชาและแฝงความเศร้าจนเนยอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจเป็นคนเก็บกด

รุ่นพี่หลายคนมาขอให้พลัมขึ้นประกวดเดือนในคืนรับน้องวันสุดท้ายซึ่งเขาก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว

“ไม่ ๆ ไม่ครับ”

“เธอไม่คิดจะทำอะไรเพื่อกลุ่มเรา ไม่เสียสละบ้างรึไง หัดเอาอย่างโจอย่างบอยเค้าบ้างสิ ดูขนาดเม้งที่หน้าอุบาทว์ๆยังกล้าขึ้นประกวดเลย”

ยัยอิ๋วตัวดีวีนแส่ขึ้นมาจนสุดท้ายพลัมต้องยอมเซ็นชื่อขึ้นประกวดอย่างไม่เต็มใจ...เนื่องจากเบื่อเสียงบ่นและเสียงคะยั้นคะยอของเพื่อนๆเต็มที

“เอาน่า..ลองๆดูครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่แน่นายอาจสนุกก็ได้ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างให้มันตื่นเต้นๆ”

โจตบไหล่พลางพูดปลอบใจพลัม

โจ...ลูกชายคนเล็กของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เป็นหนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อที่มีสายตากรุ่มกริ่ม ชอบพูดจากระล่อนออเซาะหญิงตลอดเวลา สิ่งที่ทำให้เขาเด่นคือรถสปอร์ตสีแดงสุดหรูที่เขาขับมางานรับน้อง

“โธ่ โจไม่กัดหรอก เพื่อนๆกันทั้งนั้น มาโจช่วย” เขาพยายามจะกระแซะเข้าไปขอถือกระเป๋าให้เมธาวีกับปลายฟ้า

มีแต่ปลายเท่านั้นที่ยอมส่งกระเป๋าให้โจ ส่วนเมธาวีเดินเชิดไปอีกทาง...บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนหยิ่งยโสชนิดไม่ธรรมดา

และในตอนบ่ายของวันที่สองนั่นเอง...ที่อิ๋วเริ่มสนิทกับโจมากขึ้นเป็นพิเศษ

ที่จริงอิ๋วก็สนิทกับผู้ชายทุกคนอยู่แล้ว แต่โจเป็นคนเจ้าชู้ แล้วก็ชอบคุยกับคนน่ารัก ยิ่งอิ๋วทำตัวเป็นทอม โจก็ยิ่งตีสนิทด้วยได้ง่าย ทั้งสองพูดเล่นแขวะกัน ตบหัวเปาะแปะ เล่นต่อยกันหัวเราะคิกคักอย่างสนิทสนมตลอดเวลา

หากพูดถึงเรื่องเพื่อนๆในความคิดของเนยขณะนั้น...ความจริงคือการอยู่คณะเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเป็นเพื่อนสนิทกัน  เพราะเท่าที่เห็นแล้ว...ต่างคนต่างจับกลุ่ม สนิทเฉพาะในกลุ่มของตัว ถือคติว่าถ้าไม่ใช่พวกเรา ไม่ได้อยู่แก๊งเดียวกับเรา ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ  และภายใต้ชื่อคณะที่แขวนคอทุกคนอยู่เหมือนๆกันนั้น...ไม่ได้ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึงอันเดียวกันขึ้นมาเลย

ในตอนนั้นเนยพอจับได้ว่ามีเพื่อนเริ่มจับกลุ่มกันแล้วโดยดูจากตอนจับกลี่มเข้าแถว และตอนนั่งติดๆกันในโรงอาหาร เนยพบว่ากลุ่มที่ดูเหนียวแน่นมากมีทั้งหมดสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือบอย โจ เมธาวี ปลายและกลุ่มที่สองคือนิว ปิงปอง หวาน โอส่วนอิ๋วก็วนเวียนไปมาระหว่างสองกลุ่ม บางทีก็นั่งกับกลุ่มโจ บางทีก็กลับไปนั่งกลับกลุ่มนิวบ้างตามสถานการณ์เอื้ออำนวย กลุ่มที่สามเป็นชายล้วน ซึ่งเป็นกลุ่มของดีม...คนที่เนยแอบชอบ กับชายอีกสามคนคือท็อป ตี๋ บีท

ส่วนพลัม...หนุ่มหล่อคนนั้นลอยไปลอยมา...เดินคนเดียวราวไม่มีใครคบ และเขาก็ดูเหมือนไม่ได้อยากคบกับใครอยู่แล้ว ยิ่งสังเกต...เนยก็ยิ่งรู้สึกเขาเป็นคนแปลกมา

สำหรับเนยกับโบว์...เธอสองคนเหมือนถูกปล่อยเกาะ ไม่มีใครเอาเข้ากลุ่ม เนื่องจากเงียบหงิม ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น แถมมาจากบ้านนอกทั้งคู่ เวลาพูดเลยเงอะๆงะ เพราะกลัวสำเนียงบ้านเกิดออก ทำให้สองสาวดูเหมือนจะหายวับไปจากสังคมโดยปริยาย ดังนั้นสองวันแรกของการใช้ชีวิตมหา’ลัย เนยกับโบว์จึงติดกันเป็นปาท่องโก๋ เข้าห้องน้ำก็ไปพร้อมกัน เดินไปซื้อขนมพร้อมกัน นั่งคุยกันเพียงสองคนอย่างเงียบเหงา

“นี่เนย เป็นเพราะเราเงียบไปหรือเปล่าเพื่อนถึงไม่ค่อยเข้าหาเรา รุ่นพี่ก็ไม่ค่อยสนใจเรา หรือเป็นเพราะเราไม่ค่อยกล้าเข้าหาคนอื่นก็ไม่รู้เนอะ” โบว์บ่นขึ้นลอยๆในตอนเย็นวันที่สองของงานรับน้อง

“คงเพราะเราไม่เข้าหาเพื่อน แล้วก็ไม่ทำอะไรโดดเด่น ไม่น่าสนใจ เป็นแค่คนจืดๆในสายตาเพื่อนๆ ที่จริงเราจะเข้ากลุ่มนิวก็ได้ แต่ก็ต้องลงให้นิวหน่อยเหมือนหวาน แต่ถ้าเราไปเข้ากลุ่มโจ หรือ บอย ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงพวกเค้าได้ง่ายอๆ กลุ่มนี้เหมือนจะสูงเกินเอื้อม ต่อให้เข้าไปบอกว่าขอเป็นเบ๊เธอนะ แต่ขออยู่กลุ่มด้วยได้มั้ย พวกนั้นคงยังไม่เอาเราเลยมั้ง”

เนยออกความเห็นอย่างตรงไปตรงมา และเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมคนสวยอย่างเมธาวี และปลายฟ้าแม้ทำตัวเงียบๆไม่เข้าหาใครก่อน แต่ก็มีคนมาคอยเอาอกเอาใจตลอด ทั้งหาน้ำให้กิน ชวนให้นั่งพักเหนื่อย ทาบทามไปประกวดดาวเดือน ชวนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ และอีกสารพัดสารเพ บอยกับโจก็จ้องจะตีสนิทกับสองสาวคู่สวยอยู่ทุกขณะ เห็นได้ชัดจากแทบทุกชั่วโมง…ที่เนยจะได้ยินเสียงคุณชายบอยหาเรื่องคุยกับเมธาวีและปลาย

“เม ปลาย มานั่งตรงนี้ดีกว่า มานั่งคุยกันสี่คน จะได้ไม่เหงา”

“เม ปลาย มาเดินกับพวกเราดีกว่า สามัคคีกันเข้าไว้ ถึงไงก็ต้องอยู่กันอีก 4 ปี”

จนอิ๋วอดรนทนไม่ได้ ต้องพูดแทรกขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้

“เฮ้ย แล้วพวกแกสองคนเอาเพื่อนที่เหลือไปทิ้งไว้ไหนวะ”

แค่วันที่สองอิ๋วก็พูดวะ เว้ย เล่นหัว คุยกับพวกผู้ชายราวคบกันมานานแล้วหลายปี และเวลาพูดถึงพลัมหรือโจ อิ๋ววจะพูดเหมือนรู้ดีทุกอย่างราวกับว่าสนิทกันมากมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแค่สองวันเหมือนเพื่อนคนอื่นแท้ๆ

“อ๋อ ไอ้โจน่ะเหรอมันเจ้าชู้จะตาย อย่าไปชอบมันกันนักเลย...”

“พลัมอะเหรอ มันเงียบๆ..เนี่ยก็พยายามชวนมันคุยอยู่ กลัวมันจะเหงาเหมือนกันนะ”

พอเห็นเพื่อนๆสนุกสนานครื้นเครงกันเป็นกลุ่ม เนยเองก็เริ่มเหงา และคิดว่าทำไมกลุ่มเธอถึงมีแค่สองคน เวลาเซ็นชื่อลงในสมุดเช็ค  เนยสังเกตเห็นว่ารหัสของเธอกับพลัมถูกคั่นด้วยรหัสของใครคนหนึ่ง...

นาย ภูเบศร    พรรศประเวช  (พลัม)   เข้าครบ   0338101

นางสาว ใบหญ้า   ปานไพลิน   (ใบหญ้า)   ขาด   0338102

นางสาวนริศรา  ธันยบริบูรณ์   (เนย)    เข้าครบ   0338103

เนื้อกระดาษต่อจากชื่อนั้น...ว่างเปล่า ไม่มีลายเซ็น แสดงว่าคนๆนั้น...ไม่ยอมมาเข้าร่วมการรับน้อง

ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจของเนยว่า…ใครกันคือคนที่หายไป และแล้วปริศนาของเธอก็ถูกไขให้กระจ่างในเช้าวันที่สามของการรับน้องนั่นเอง…

“น้องหายไปไหนมา 2 วัน”

พี่นิดเสียงแหววใส่เด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งมาปรากฏตัวในวันที่สามของการรับน้อง เธอคนนี้มีทั้งความสวยและความแปลก...ขัดแย้งอยู่ในตัวอย่างสิ้นเชิง ผิวขาวอมชมพูเหมือนเจ้าหญิง แต่ผมยาวหยิกสลวยกลับยุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้หวี ดวงตากลมสีน้ำตาลสุกใสเหมือนตุ๊กตา...แต่แต่งตัวอย่างกับพวกพังค์ด้วยเสื้อยืดสีดำเพนท์ลายหัวกะโหลก กับกางเกงยีนส์ขาดวิ่น

“น้องเห็นว่าการรับน้องมันไม่สำคัญเลยใช่มั้ย น้องถึงไม่มา คิดว่าพวกพี่ๆเหนื่อยจัดงานกันขึ้นมาเพื่ออะไร”

สาวน้อยแปลกหน้าไม่ตอบ…

“นี่น้องยังจะมายืนเงียบอีกเหรอ รู้ตัวบ้างมั้ยว่าทำผิด”

พี่นิดวีนหนักกว่าเดิม เธอมีศักดิ์เป็นประธานรุ่นของปี 2 เป็นคนดุ และ ขี้โวยวายจนเป็นที่เกรงใจของทุกคน แต่ในสายตาของสาวคนที่ชื่อใบหญ้า เหมือนว่ากำลังมองเด็กน้อยๆอาละวาดอยู่ ทำให้พี่นิดยิ่งโกรธใหญ่

“น้องเพิ่งจะโผล่มาวันที่ 3 มารับบายศรี แค่เนี้ยเหรอ?”

พี่นิดกระชากข้อมือสาวแปลกหน้าคนนั้นมา แล้วลากขึ้นไปบนเวทีหอประชุม

“ดู ทุกคน ดูหน้าเด็กคนนี้ไว้ พวกเราเหนื่อยกันขนาดไหน ทุ่มเทกันขนาดไหนกับการรับน้อง แต่เด็กคนนี้ มาแค่วันนี้ วันสุดท้าย แค่จะมารับเข็มติดหน้าอก พวกน้องๆใครคิดว่าเด็กคนนี้สมควรได้รับเข็มของคณะบ้าง”

พี่นิดประจานใบหญ้า ตั้งใจจะทำให้อายจนจมดินเหมือนอย่างที่ทำกับน้องคนอื่นๆ…ที่เคยทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อเธอมาแล้วหลายคน

บรรยากาศในหอประชุมเครียดจัด หลายๆคนถึงกับเหงื่อแตก รู้สึกอายแทนสาวแปลกหน้าคนนั้นแต่เธอผู้ยืนอยู่บนเวทีกลับนิ่งเหมือนหิน ไม่มีแสดงอารมณ์ใดๆบนสีหน้า ตากลมสีชาสงบราบเรียบ ไม่มีแววหวาดหวั่น ไม่เสียใจ ไม่ตกใจ…ทุกอย่างว่างเปล่า…ราวกับในหัวใจของเธอก็คงเป็นเช่นนั้น

“ใครคิดว่าเด็กคนนี้ไม่สมควรได้รับการติดเข็มคณะจากรุ่นพี่ ยกมือขึ้น!”

พี่นิดตะโกนอีกครั้ง หาพรรคหาพวกเต็มที่ เพราะอำนาจที่มีทำให้ใครๆต่างพากันเกรงใจ ค่อยๆยกมือสนับสนุนเธออย่างเบาบาง ซึ่งในหอประชุมนั้น...อิ๋วยกมือขึ้นเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้น

“ขอโทษเพื่อนๆซะ” พี่นิดบังคับ “แล้วพวกพี่ๆและเพื่อนๆจะให้อภัยเธอ”

เธอเงียบไม่ตอบ…คว้าบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาสูบแก้เซ็งบนเวทีเสียอย่างนั้น

ภายในหอประชุมที่ทุกคนเงียบกริบ เสียงแช็ก แช็ก…ของไฟที่เธอจุด ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง

พี่นิดถึงกับตกตะลึง ในขณะที่เสียงงึมงำดังขึ้นทั่วทั้งหอประชุม

“คนอย่างน้องนี่มันไม่มีจิตสำนึกบ้างเลย จะยอมขอโทษเพื่อนๆเดี๋ยวนี้ หรือจะโดนแบน”

พี่นิดอาละวาดเสียงดังจนทุกคนในหอประชุมตกใจ...สีหน้าเฝื่อนไปตามๆกัน ไล่ตั้งแต่แถวแรกจนถึงแถวหลังสุด

สาวเซอร์คนนั้นยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง…สมเพชคำว่าแบน คำคำนี้รุนแรงนักหากอยู่ในเงื้อมมือผู้มีอำนาจ

คนบางคนบางทีก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลับโดนแบนด้วยเพราะเกิดไปทำตัวขัดหูขัดตาผู้เป็นใหญ่เข้า เธอก้าวผ่านโลกวัยเด็กแบบมัธยมขึ้นมาสู่รั้วมหา’ลัยแล้ว แต่ก็ยังพบความด้อยทางสติปัญญาแบบเดิมๆ

“ขอโทษนะทุกคน” เธอตะโกนใส่ไมค์ในที่ประชุม “พอดีพ่อเพิ่งตายเลยมารับน้องไม่ได้”

จนทุกวันนี้ ทุกคนก็ยังจำได้ดี...ถึงประโยคเปิดตัวของใบหญ้า ในวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตมหา’ลัย