-4-

ในเวลาประมาณ10โมงเช้า ทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย

“คนเยอะจริงนะที่นี่...”” อิงเขย่งมองดูผู้คนที่กำลังยืนต่อแถวรอเข้าสวนสนุกเป็นทางยาว

“แหงล่ะย่ะ ที่นี่มันดังขนาดไหนเธอไม่รู้รึไง เชยจริงๆ” ”คุมิหันมามองอิงอย่างปลงๆ

“...ไม่รู้สิ ไม่ได้อยากมาสวนสนุกนี่นา” อิงทำหน้าหงอยๆ เมื่อโดนคุมิแขวะ”

“ไม่อยากก็ต้องเข้าล่ะ เพราะชั้นจะเข้า แล้วเธอก็ต้องเลี่ยงชั้นด้วย แล้วทำไมไม่อยากมาสวนสนุกล่ะ ประสาทรึไง มีแต่คนอยากจะมาโดยเฉพาะที่นี่””

คิ้วเรียวของสาวน้อยขมวดขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่พอเห็นหน้าหมาหงอยของอีกฝ่ายแล้ว เธอก็รู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจมันเร่งความเร็วขึ้นมานิดๆ

หญิงสาวเสตามองไปทางอื่น แสร้งทำท่ารำคาญอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

“ไม่รู้”” อิงตอบกลับไปพร้อมกับดึงมือคุมิไปด้วยกันในขณะที่แถวขยับไปข้างหน้า...

หลังจากยืนรอมาพักใหญ่อิงและคุมิก็ได้เข้ามาภายในสวนสนุกจริงๆซะที

“จะเล่นอะไรก่อน?””อิงถามสาวน้อยที่เป็นต้นเหตุพาเธอมาเสียเงินเล่น

“ไอ้นั่น” คุมิหันไปมองทางเครื่องเล่นที่เป็นหอคอยสูงที่ชั้นบนสุดมีกระเช้าสองอันแขวนด้วยสายเคเบิลอย่างหนา

“ไหน... อิ้!” อิงหลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่สามารถหลุดรอดจากสายตานางพญาเหยี่ยวสาวข้างตัวไปได้เลย คุมิไม่พูดพร่ำทำเพลงเธอกึ่งลากกึ่งจูงเพื่อนสาวขึ้นไปที่หอนั้นทันที

‘อึ๋ยยย สูงเอาเรื่องนี่นา น่ากลัวจัง เอ้ย ไม่สิเราต้องทำให้เค้ากลัวนี่นา’สาวน้อยจอมวางแผนนึกกลัวไปชั่ววูบหนึ่งทันทีที่เธอขึ้นมาที่จุดสูงสุดของหอ

“นี่ พวกเราต้องไปนั่งไอ้นั่นใช่มั้ย?””อิงหันไปถามสาวน้อยร่างบางข้างๆตนอย่างไร้เดียงสา ส่วนคุมิก็ทำหน้าพยักพเยิดให้อิงไปนั่งที่กระเช้าเล็กๆที่สุดทางเดิน แต่ทันทีที่ได้รับคำตอบ อิงก็จับมือคุมิแล้วพาไปนั่งที่กระเช้านั้นด้วยกัน

“เย้ยย ใครบอกว่าจะเล่นด้วยกันฮะ.....” ไม่ทันพูดจบ เจ้าเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวก็หล่นวูบลงมาด้วยความเร็วสูง

“กรี๊ดดดดด “ หญิงสาวนักวางแผนร้องกรี๊ดเสียงดังจนไม่เหลือสภาพ และทันทีที่พนักงานคุมเครื่องกดปุ่มปล่อยกระเช้าของคนทั้งคู่ลงมาข้างสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง เจ้าตัวก็ร้องโวยวายเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่พันตีย้อนขึ้นมา “แง้ ฮือๆ เค้ามาทำไมเนี่ยยยย”

ก่อนที่กระเช้าจะแตะพื้นเพียงนิดก็ถูกเชือกสลิงค์ดึงขึ้นมาข้างบนอีกครั้งด้วยความเร็วที่แทบไม่ต่างกับขาลง

“แฮ่ก...แฮ่ก...” คุมิหอบหายใจหลังใช้พลังไปกับการตะโกนเต็มกำลัง “ โอ้ยชั้นจะบ้าตายไม่ได้บอกว่าจะเล่นด้วยซักนิดนึงดันลากชั้นไปได้ ยัยบ้าเอ๊ย”” คุมิที่ตอนนี้กำลังใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการทรงตัวหันมาค้อนใส่อิงวงใหญ่

“อ้าวก็ตัวเองบอกอยากเล่นนี่ กลัวเหรอขาสั่นเชียว มาเราประคองให้”” อิงตรงเข้ามาประคองคนตัวเล็กกว่าโดยไม่สนใจค้อนวงงามๆที่สาวน้อยปากเก่งเพิ่งแจกไปหยกๆ

“ไม่ต้อง ชั้นเดินเองได้ย่ะ อุ๊ย!”” คุมิที่ยังเข่าอ่อนไม่หายเกิดเสียหลักเพราะสะบัดมือของอิงออกจนเกือบจะล้มลงไป แต่อิงก็รับไว้ได้ทันท่วงที

“นั่นไง ทำเป็นเก่งอีกแล้ว...” อิงหันไปพูดกับสาวน้อยในอ้อมกอดของตน โดยที่ไม่รู้ว่ามีสายตากรุ้มกริ่มมองคนทั้งคู่อยู่ใกล้ๆ

“วี้ดดด วิ้ว น้องสาวทั้งสองจะสวีทกันไปถึงไหนจ๊ะ กลางวันแสกๆอย่างนี้ พี่เห็นแล้วชักเกิดอาการ” เสียงจากชายคนหนึ่งที่ยืนคาบบุหรี่อยู่ในปาก มีหนวดเคราเฟิ้ม ดูสกปรกๆ พูดด้วยน้ำเสียงหื่นกระหายกับสาวน้อยทั้งสอง

“อาการอะไรไม่ทราบ แล้วชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับยัยนี่ซักหน่อย พูดพล่อยๆไปได้” ”คุมิชักไม่สบอารมณ์กับคำพูดของชายคนนั้น เลยหันไปแว้ดใส่อย่างหมดความอดทน

“อ้าว เรื่องแค่นี้ไม่รู้เหรอว่าพี่หมายถึงอะไร ทั้งสวยทั้งปากเก่งอย่างนี้สิพี่ชอบ แล้วน้องสาวอีกคนนึงเป็นใบ้เหรอจ๊ะ หรือว่าเขินพี่ ไม่ต้องห่วงไปพี่ไม่ทำอะไรน้องแรงอยู่แล้ว”” ไม่พูดเปล่า เจ้าหมอนี่ยังเอามือมาลูบไล้ที่ต้นขาของเธออีก

อิงที่เงียบฟังมาตั้งแต่ต้นไม่พูดไม่จา เธอสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายคนนั้นแล้วประเคนหมัดชุดที่เคยร่ำเรียนมาจากที่ไทยทันที แววตาของเธอมองคนที่ลงไปนอนคลุกฝุ่นอย่างเหยียดหยามและความเกลียดชัง

“โอ้ย อ้าก ว้ากก ดุชิบหาย ไม่เล่นด้วยก็บอกกันดีๆสิวะ ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเหอะ”” หลังจากที่ตั้งหลักได้ชายคนนั้นก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

“...อิง เธอ... เธอเข้ามาซัดมันทำไมยะ รู้มั้ยว่าอีกแค่คำเดียวมันก็จะได้ลงไปนอนเล่นที่พื้นแล้ว ชิ แย่งซีนกันจริงๆ” ”คุมิหันไปแว้ดใส่อิงที่อุตส่าห์เสียแรงเข้ามาช่วยเธอจากการถูกลวนลาม ‘แต่ว่าทำไมวันนี้ยัยนี่พูดเยอะจังแฮะ ตอนอยู่โรงเรียนทำอย่างกับเป็นใบ้ แล้วยังเมื่อกี้อีก ถ้าไม่ได้คิดไปเองนะ หรือว่าอิงจะตกหลุมรักสุดสวยอย่างเธอเข้าให้แล้วล่ะมั้ง’ คุมิคิดสรุปหาเหตุผล (แบบเข้าข้างตัวเองสุดๆ) อย่างรวดเร็ว เธอส่งสายตาที่แสดงถึงความเคลือบแคลงใจไปยังอิงที่ทำหน้าเหรอหราเพราะไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดตรงไหนด้วยความหงุดหงิด

สาวไทยหันหน้าหลบสายตาของสาวญี่ปุ่นเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องตาอยู่ เพราะสายตาของคุมิที่จ้องมองมานั้นมันราวกับกำลังพยายามจะอ่านใจเธอให้ได้อยู่

“จะ จริงสิ ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันเหอะ”” อิงที่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังสงสัยการกระทำของตนอยู่รีบดึงมือคุมิตรงไปยังร้านอาหารตรงหน้า

หลังจากที่สาวเสิร์ฟพาทั้งสองมานั่งตรงที่นั่งริมหน้าต่างที่ยังว่างอยู่เรียบร้อย อิงก็ถอดเสื้อนอกวางไว้ข้างตัวพลางบอกให้คุมิสั่งอาหารได้เลย “สั่งตามสบายเลยนะ แต่อย่าสั่งมาเยอะเว่อร์ล่ะ รู้ว่าหิวถ้าหมดก็สั่งใหม่ได้ เพื่อเป็นการขอโทษเรื่องจู...””

ควับ!”คุมิรีบเอามือน้อยของเธอเอื้อมไปปิดปากคนพูดน้อยที่ชักจะพูดมากตรงหน้า ใบหน้าของเธอแดงก่ำ พลางเอามือจุ๊ปากแล้วดุคนตรงหน้าเบาๆ“ยะ อย่าพูดดังสิ เรื่องแบบนี้เอามาพูดในที่สาธารณะได้ยังไง คอยดูนะกลับหอไปแม่จะเอาให้หนัก” หญิงสาวเอ่ยอย่างคาดโทษ แถมด้วยสายตาอาฆาตให้อิงสาวไทยพยักหน้าช้าๆ เธอยิ้มบางๆให้คุมิเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเขินอยู่ แต่รอยยิ้มนี้ก็ทำเอาใจของสาวน้อยแกว่งๆได้เอาเรื่องทำให้เจ้าหล่อนกุลีกุจอสั่งอาหาร เธอรู้สึกว่าอุณหภูมิบนใบหน้าของเธอนั้นสูงมากขึ้นๆจนต้องทำเป็นยกเมนูขึ้นมาบังหน้า

ทันทีที่อาหารมาถึงคุมิก็ไม่รอช้ารีบจัดการองที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งสลัด ทั้งพาสต้าเธอฟาดเรียบในเวลาแค่ไม่ถึงอึดใจ อิงนั่งมองสาวน้อยคนสวยที่กำลังตักอาหารเข้าปากไปเรื่อยๆด้วยความแปลกใจสุดขีด เธอพอรู้จากตอนที่ไปพักเที่ยงกับพวกคุมิว่าสาวเจ้านั้นรักการกินยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงแต่ไม่นึกว่าจะชอบกินแบบนี้...

“แค่กๆ”

เพียงครู่เดียวคุมิก็เกิดสำลักอาหารขึ้นมา” เธอใช้มือทุบที่หน้าอกเบาๆด้วยความจุก

“ติดคอล่ะสิ เอ้านี่น้ำ””

อิงยิ้มกับการกระทำของคุมิพลางรินน้ำเพิ่มให้ ส่วนคุมิที่ตอนนี้เรื่องล้างแค้นเรื่องเอาคืนอะไรทั้งหมดถูกลืมไปทันทีที่เห็นอาหารก็รีบรับแก้วน้ำที่อิงยื่นให้ไปดื่มอย่างรวดเร็วแถมยังหยิบแก้วของอิงไปดื่มต่ออีกแก้วนึงด้วย

“เฮ้ย นั่นของชั้น”” อิงคว้าแก้วของตนไว้ไม่ทันจึงได้แต่มองคนตะกละกินน้ำของตนอย่างกระหาย

“มองอะไร !” พอคุมิกินน้ำเสร็จเริ่มหันมาแหวใส่อิงอีกครั้ง”

แต่อิงก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ เธอยิ้มให้พร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกวน ๆ “หืม... ก็มองคนสวยกินไง เราเพิ่งรู้ว่าคนสวยก็กินมูมมามเป็นน่ะ””

“เชอะ...”” สาวญี่ปุ่นไม่รู้จะโต้แย้งยังไงเลยได้แต่หน้าแดงแล้วเชิดหน้าหนีอิงไปอีกทาง

พอเสร็จจากอาหารกลางวันที่คนกินไม่ได้จ่าย คนจ่ายกลับแทบไม่ได้กินเสร็จสิ้น คุมิที่กลับมามีแรงเต็มร้อยอีกครั้งก็เริ่มลากอิงไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆอย่างสนุกสนาน เวลาแห่งความสนุกผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาการศรอบข้างเริ่มเย็นมากขึ้นตามเวลา ท้องฟ้าที่ค่อยมืดลง แสงสียามค่ำคืนดูสว่างไสว แต่สาวน้อยร่างบางที่กำลังตื่นตากับครั้งแรกในการมาสวนสนุกของเธอยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย

หลังจากที่เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวมาทั้งวัน ด้วยเวลาที่ล่วงเลยจนชักดึก อิงก็ส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกว่ากลับเหอะให้กับคุมิ แต่สาวน้อยกลับอิดออดไม่อยากจะกลับ

“งั้นให้เล่นอีกแค่อย่างเดียวนะ” เลือกเอา”อิงที่เงินในกระเป๋าชักพร่องไปมากจากการเล่นและกินของคุมิยื่นขอเสนอสุดท้ายให้ ถ้าหากคุมิคิดจะอยู่ต่อจนสวนปิดล่ะก็มีหวังเธอคงจะอยู่ได้ไม่ถึงสิ้นเดือนอย่างแน่นอน

“งั้น...”” คุมิทำท่าหยุดคิดพักหนึ่งด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กๆ “ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กัน”เธอตัดสินใจแล้วพาอิงไปต่อแถวเครื่องเล่นทันที

เมื่อทั้งสองได้ขึ้นมานั่งบนกระเช้าหลังจากที่ยืนรอมานานอิงก็รีบเข้าไปจับจองที่นั่งคนล่ะมุมกับคุมิทันที ใบหน้าคมของเธอนั้นหันออกไปมองข้างนอกหน้าต่าง แววตาของเธอดูมีความล้าอยู่บ้างจากการเอาแต่ใจของเด็กสาวหน้าตาสะสวยที่นั่งอยู่อีกฝั่ง กระเช้าค่อยๆพาคนทั้งคู่ลอยขึ้นสูงจากพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ อิงเอาแต่เสตามองออกไปชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน ส่วนคุมิก็ลอบมองอิงอยู่เป็นพักๆ

ทำไมกันนะ วิวข้างนอกก็สวยดีแท้ๆเลย แต่เราก็ยังหันไปดูยัยบ้านั่นอยู่ได้ แล้วนี่ตกลงเรามาด้วยกันรึเปล่านะ ตั้งแต่ขึ้นมาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

สาวน้อยไม่มีสมาธิจะสนใจกับสิ่งอื่นๆภายนอก อีกต่อไป ดวงตากลมโตของเธอมองไปที่สาวสวยที่เอาแต่มองไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมายคนนั้น สวย... คำเดียวที่พอจะคิดได้ในเวลานี้ ยิ่งเธออยู่ท่ามกลางแสงจันทร์เช่นคืนนี้ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าที่เรียบเนียน ผมสีดำที่คลอเคลียใบหน้าคมนั้นแทบไม่ยาวขึ้นจากครั้งแรกที่เจอกันซักนิด คุมิจ้องมองใบหน้าของอิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้น

“อิง... ทำไมวันนี้ถึงได้ยอมมากับชั้นล่ะ”” เมื่อสุดที่จะทนได้ไหว กำแพงแห่งความทระนงและทิฐิที่เธอเคยตั้งขวางไว้ค่อยๆหายไป เธอเลือกที่จะเป็นฝ่ายถาม และเลือกที่จะเรียกคนตรงหน้าด้วยชื่อเล่นของเธอไม่ใช่อย่างอื่นเช่นทุกครั้ง

ร่างสูงเลิกสนใจวิวภายนอกแล้วหันมามองหน้าคุมิช้าๆ พร้อมตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเสียงที่นุ่มนวล

“เมื่อวาน...เพราะว่าเมื่อวานชั้นไม่ยอมยั้งใจไว้ ชั้นเข้าใจดีที่เธอวิ่งหนีชั้นไปนะ ...เท่าที่ดูชั้นพอจะรู้ว่านั่นคงจะเป็นจูบแรกของเธอ ใช่มั้ย ?”” อิงค่อยๆอธิบายถึงเหตุผลให้สาวน้อยร่างบางฟังช้าๆหากแต่หนักแน่นในทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมา เธอพูดไปพลางนึกถึงแววตาแปลกใจที่ปรากฏออกมาแม้เพียงแค่ครู่เดียวของคุมิ แววตาที่บอกเธอถึงความรู้สึกที่มีของอีกฝ่ายนั้น อิงจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของคุมิราวกับจะเค้นเอาความจริงที่ต้องการมาให้ได้...

“อะ อืม”...” ใบหน้าของสาวน้อยมีสีเลือดขึ้นมาแทบทั้งใบหน้า หากไม่ใช่เวลากลางคืนเช่นนี้ อิงคงจะเห็นใบหน้างามที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับลูกตำลึงสุกนี้เป็นแน่

“...แล้วที่พาชั้นมาที่นี่เพราะอยากเอาคืนเรื่องเมื่อวาน ถูกมั้ย ?”” อิงถามคำถามที่สองออกมา นัยน์ตาคมยังคงจ้องมองคุมิอย่างไม่วางตา

“ก็...ถูกอีกนั่นแหละ”” เธอลังเลที่บอกความจริงเล็กน้อย แต่ก็บอกไปในที่สุด

“แค่นั้นล่ะ เหตุผลอยู่ในเรื่องทั้งหมด ถ้าชั้นเป็นคนเอาสิ่งที่เธอหวงมา ชั้นก็เลือกที่จะเป็นคนรักษามันไว้ให้ มันคือความรับผิดชอบที่ชั้นคิดว่าเธอสมควรได้รับ”” แววตาของอิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ น้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้นก็ช่วยบ่งบอกเจตนาของผู้พูดได้เป็นอย่างดี “เอ้า เอาไป”” อิงพูดพลางหยิบกล่องเล็กๆสีชมพูอมม่วงมาให้

“อะไร ?”” เธอรับกล่องนั้นมาแล้วเปิดมันออกต่อหน้าคนให้

มันเป็นจี้หินอะความารีนรูปหยดน้ำสีฟ้าใส คุมิหยิบมันขึ้นมาส่องดูกับแสงจันทร์ ทำให้หินสีฟ้าส่องประกายสุกใส ยิ่งดูยิ่งสวยงาม

“เมื่อกลางวันตอนออกจากร้านขายของที่ระลึก ชั้นเห็นเธอจ้องมันตาเป็นมัน ก็เลยซื้อมา””

“ตอนไหนกัน ?  หรือว่า...”” คุมิถามพลางนึกย้อนไปถึงตอนที่อิงอาสาลุกไปซื้อเครื่องดื่มมาให้เธอ มิน่าถึงได้หายไปนานนัก เธอคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงคนพูดน้อย (ที่ตอนนี้เข้าโหมดคนพูดมาก) รีบวิ่งเข้าไปซื้อของที่เธอหมายตาแล้วกระหืดกระหอบกลับมาหาเธอพร้อมน้ำชา2ขวดในมือ...

“อืม แล้วตกลงเรามาเป็นเพื่อนกันได้รึยัง?”” อิงถามเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง

“ก็ได้ แต่ถ้าเธอทำกับชั้นอีกล่ะก็ ชั้นจะไม่มีวันอภัยให้อีกเป็นอันขาด”” คุมิตอบกลับไปด้วยหัวใจที่ลิงโลด

ในที่สุดคุมิก็จะยอมเป็นเพื่อนของเธอตามที่เธอต้องการตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน

“แล้วที่บอกจะรับผิดชอบ? จะรักษา? หมายถึงอะ...” ครึ่กก” คุมิตั้งใจจะถามกลับต้องชะงักเพราะแรงสะเทือนจากกระเช้า

“หมดรอบแล้วครับ ขอบคุณที่มาใช้บริการ โอกาสหน้าเชิญมาใช้บริการอีกนะครับ” พนักงานคุมเครื่องเล่นเปิดประตูและเอ่ยขอบคุณลูกค้าตามปกติ เสียงของเครื่องยนต์ที่หยุดลงเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาเล่น แต่เวลาที่ทั้งสองใช้เมื่อยามอยู่ข้างบนนั้นก็มากพอที่จะใช้ปรับความเข้าใจกันได้ ทั้งสองยิ้มให้กันเล็กน้อยพลางเดินเคียงข้างกันกลับไปยังที่พักของพวกเธอ...

**************************

ในห้องนอนขนาด 6 เสื่อ นัทสึกิกำลังโทรหาเพื่อนรักเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ แต่ก็นานพอจะทำให้เธอสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดเพราะคุณเพื่อนขี้วีนนั้นไม่ยอมรับสายสักที

“เว้ย ยัยบ้าเอ้ย อีเวลาอยากให้รับสายทำไม่ไม่รับเนี่ย โทรไปตั้งแต่เช้าแล้วนะ ยังดีว่าวันนี้เป็นการแข่งซ้อมเลยไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ว่าครั้งต่อไปถ้ามันไม่รับอีกเราจะทำไงดี” ”เสียงใสพูดอย่างรำคาญใจพลางขว้างมือถือของเธอลงไปบนเตียงที่อยู่เบื้องหน้า

นัทสึกิหงุดหงิดกับการโทรตามเพื่อนรักทั้งวันมุ่นหัวคิ้วขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่วันนี้เธอต้องการตัวคุมินั้น ไม่ใช่เพราะมีเหตุคอขาดบาดตายอะไรทั้งสิ้น หากแต่เป็นความขี้เกียจซ้อมของเจ้าตัวที่ทำให้นัทสึกิเลือกที่จะหาเรื่องให้คุมิช่วยหาเรื่องให้เธอไม่ต้องไปซ้อม เธอเข้าใจดีถึงสาเหตุที่เธอต้องไป เพราะเธอเป็นสมาชิกชมรมบาสของโรงเรียนและยังเป็นนักเรียนทุนกีฬาที่ทำให้เธอไม่ต้องจ่ายเงินสักนิดเพื่อเข้าเรียนที่นี่ แต่ก็ใช่ว่าเธอเข้ามาเพื่อจะเล่นบาสนี่นา เข้ามาเรียนที่นี่เพราะเห็นว่าได้เรียนฟรีแถมใกล้บ้านดีต่างหาก

ถึงแม้จะหงุดหงิดเพียงใด เธอก็ได้แต่เก็บเอาไว้คนเดียว หญิงสาวล้มตัวลงนอนบนเตียงและหยิบหมอนเป็ดน้อยสีเหลืองมานอนกอดไว้แนบอก

“เฮ้อ... ไปอยู่ที่ไหนของเค้านะ ทำไมไม่ยอมรับสาย รู้มั้ยว่าชั้นห่วง...” เธอนอนคิดเรื่องวันนี้อยู่บนเตียงนุ่มได้พักหนึ่งแล้วก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนล้าจากการแข่งขัน...