ดิฉันเกลียดเด็กค่ะโดยเฉพาะเด็กในยุคนี้ที่เป็นความโกลาหลจากความผิดพลาดในการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่บางคน ดิฉันรู้สึกถึงความหายนะของชีวิตอันสงบสุขทุกครั้งที่ต้องเข้าโรงหนังพร้อมกับเด็ก ๆ หรือทานอาหารโดยที่มีเด็กนั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ พร้อมกับครอบครัวสุขสันต์ของเขา

หลายครั้งที่ชาวโลกสวย "Pantip" เอาเรื่องราวของเด็ก (จากนรก) เหล่านี้มาแบ่งปันทำให้ดิฉันเองนึกถอนใจกับอนาคตของประเทศชาติที่จะต้องฝากเอาไว้ในกำมือเด็กเหล่านี้ ไม่สิต้องพูดว่ากำมือของผู้ปกครองเหล่านี้ถึงจะถูก  ดิฉันจินตนาการไม่ถูกเหมือนกันว่า หากได้มีโอกาสเป็นผู้ปกครองแล้วจะสามารถรับผิดชอบชีวิตเด็กเหล่านี้ให้เดินได้ถูกทางอย่างไร และนี่คือเหตุผลที่ดิฉันอยากให้พวกเราได้ช่วยกันตระหนักว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ไม่ใช่เด็กในยุคนี้ค่ะ

1. เราเติบโตมากับการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของเทคโนโลยี

รูปภาพ:http://static01.nyt.com/images/2013/09/20/business/YAMAUCHI-2-obit/YAMAUCHI-2-obit-blog427.jpg

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอดีต อย่าง โทรศัพท์บ้าน เพจเจอร์ (pager)  บัตรโทรศัพท์  ตู้โทรศัพท์  หรืออินเตอร์เน็ตความเร็ว 56K (dial-up modem), adsl ความเร็ว 128k 256k กันมาบ้าง อ่านดูแล้วอาจจะดูตลก มองไม่ออกว่าเราโชคดีอย่างไรกับสิ่งของล้าสมัยและเชื่องช้าเหล่านี้  แต่สิ่งเหล่านี้แหละค่ะ ที่ทำให้คนในยุคของเรารู้จักคำว่า"รอ"และ"ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้"

หลายครั้งที่เราต้องรอเพราะความเชื่องช้าของเทคโนโลยีเหล่านี้ หลายครั้งที่เราต้องยอมรับความผิดพลาดของสิ่งเหล่านี้ ทำให้เราสามารถที่จะใจเย็น และแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่อะไร ๆ ไม่เอื้ออำนวยได้   ในทางกลับกันเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาใหม่เราก็สามารถปรับตัวไปกับมันได้อย่างก้าวกระโดดผิดกับเด็กสมัยนี้ที่เติบโตมากับ tablet smartphone อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ตอบสนองทุกอย่างที่เขาร้องขออย่างทันใจ ดังนั้นอะไรที่ช้าเกินไปเขาจะทนไม่ได้ กลายเป็นคนใจร้อน และส่งผลให้สมาธิสั้นด้วยค่ะ

2. โลกของเราไม่ได้อยู่แค่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยม

รูปภาพ:https://posterjackcanada.files.wordpress.com/2012/06/people-playing-beach-volleyball.jpg

ดิฉันขอยอมรับค่ะ ว่าในวัยประถม-มัธยมของดิฉันไม่มีเทคโนโลยีมือถือที่สามารถเล่นเกมส์และหาความบันเทิงได้อย่างเต็มรูปแบบความสนุกเดียวที่เกิดขึ้นกับดิฉันคือการได้เล่นกีฬากับเพื่อน ๆ  และเราก็ทราบถึงประโยชน์ของกีฬาดี ว่านอกจากจะได้สุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ยังสอนให้เรารู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย รวมถึงการเคารพกติกา และสร้างมิตรภาพด้วยดิฉันจินตนาการไม่ออกเหมือนกัน หากในวัยเด็กของเรามี Smart Phone กันแล้วจะเป็นอย่างไร ดิฉันคงเลือกที่จะวิ่งในเกมส์ Cookie Run มากกว่าที่จะวิ่งตามเก็บลูกบอลจริง ๆและคงไม่ได้มีเพื่อนเยอะอย่างทุกวันนี้แน่นอน นึกแล้วก็รู้สึกเสียใจที่ทุกวันนี้เมื่อกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่า สนามกีฬาที่ดิฉันใช้ทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน กลับเงียบลงถนัดตา หลงเหลือแต่เด็กที่เป็นนักกีฬาโรงเรียนฝึกซ้อมอยู่บ้างประปรายเท่านั้น

3. เราอยู่ในยุคนักร้องวัยรุ่น RS รุ่งเรือง

รูปภาพ:http://topicstock.pantip.com/chalermkrung/topicstock/2012/05/C12089612/C12089612-0.jpg

จริง ๆ แล้วการอยู่ในยุคที่นักร้องวัยรุ่นของ RS รุ่งเรืองสุด ๆ จะเป็นโชคดีอะไรเหรอ? มันคือยุคที่เราเลือกชอบศิลปิน และแต่งตัวตาม เต้นตามเสียมากกว่า หากมองไปในยุคนั้นเราคงจะอดขำในเทรนด์การแต่งตัวสุดประหลาดของเหล่าศิลปินไม่ได้ และเราก็แต่งตัวกันตามสุดพลังเช่นกันมันเป็นช่วงเวลาดี ๆ ของวัยที่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือความพอดี อะไรดูดี อะไรดูตลก ที่เราได้มีโอกาสได้เก็บไว้ในความทรงจำพร้อมภาพถ่ายที่โพสท่าแปลก ๆ ค่ะ

การที่ไม่ใช่เด็กในยุคนี้ เรามีโอกาสได้มีไอดอลของตัวเอง และเติบโตมากับไอดอลของเรา ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา และเราเองด้วย รู้จักการสะสมสิ่งที่เรียกว่า เทป ซีดี ไม่ใช่แค่การดาวโหลดเพลงเฉพาะที่ชอบ เหมือนอย่างทุกวันนี้

จะว่าไปแล้วเด็ก ๆ ยุคนี้ที่ชื่นชอบศิลปินเกาหลี ก็จัดว่ากำลังดำเนินรอยตามพวกเราเหมือนกัน เพียงแต่ในอนาคตเขาอาจจะไม่ได้ข่าวศิลปินที่เขาชื่นชอบเหมือนศิลปินไทยที่ติดตามข่าวคราวได้ง่ายเหมือนเราเท่านั้นเองค่ะ

4. ยุคนั้นสอนให้เราเป็นนักประดิษฐ์ นัก D.I.Y.

รูปภาพ:http://allideastudio.co.th/tips/images/24/sefgdd.pngรูปภาพ:http://moremeng.in.th/wp-content/uploads/2009/03/tamiya-01.jpg

เนื่องจากในวัยเด็กของเราไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมาก หากมีอะไรเข้ามาก็จะกลายเป็นกระแสอย่างง่ายดาย เช่น รถแข่งทามิย่า ที่ต้องแต่งกันสุดพลัง ปรับเปลี่ยน D.I.Y. ชิ้นส่วน เพื่อเอามาแข่งกัน   หรือจะเป็นบ้านกระดาษที่แถมมากับขนมจาจา ที่ต้องเอามาต่อสะสมกัน ไม่ได้ให้เกียรติ์ขนมที่อยู่ข้างในเลย ( แต่มันอร่อยนะ ปริมาณไม่น้อยไปด้วย )  นอกจากนี้ยังมีช่วงที่ฮิตการถักกำไลข้อมือด้วยค่ะ ( ดิฉันตัวแม่เลย ) และยังมีกิจกรรม DIY อื่น ๆ อีก แต่ดิฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว เพราะมันก็นานนะคะ

การที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีมากนัก ไม่มีอะไรที่สำเร็จรูปไว้บริการ ทำให้เราเป็นนักประดิษฐ์ นัก DIY โดยธรรมชาติค่ะ   นอกจากนี้ทักษะพวกนี้ยังทำให้เรากลายเป็นคนที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีอีกด้วยค่ะ

รูปภาพ:http://www.mix-and-match.net/product/upload/photos/3165/20101015104058.jpg

5. เราเข้าถึงเทคโนโลยีเมื่อเราพร้อม

รูปภาพ:http://www.familymediawatch.org/images/column_1433758044/11391755_10153058797578732_8668498194121504057_n.jpg

อย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันเด็ก ๆ เข้าถึงสื่อต่าง ๆ ได้โดยง่าย โดยเฉพาะจาก tablet หรือ Smart Phone ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าไปเจอะเจอกับสิ่งไม่พึงประสงค์เช่น เว็บลามก การพนัน ยาเสพติดอาจจะทำให้เด็กในวัยที่ยังแยกแยะอะไรไม่ได้มาก เสียงต่อการโดนล่อลวงโดยสิ่งเหล่านี้ค่ะ

ทั้ง Smart Phone แบบถ่ายรูปถ่ายคลิปได้ หรืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เข้ามาในชีวิตดิฉันจริง ๆ ก็ตอนที่ดิฉันมีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่บ้างแล้ว รู้ว่าอะไรควรไม่ควร มีภูมิคุ้มกันที่ดีแล้วค่ะ จึงถื่อเป็นโชคดีของคนในยุคของดิฉันจริง ๆ  และหากไม่เป็นอย่างนี้คงมีคลิปหรือมีภาพของดิฉันโชว์...หราไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วล่ะค่ะ

รูปภาพ:http://p.s1sf.com/hi/0/ud/189/947961/20120311110512.jpg

6. เราไม่ได้ถูกเลี้ยงโดย Tablet

รูปภาพ:http://www.dotsilicon.com/demo/02/content/archives/2012/01/ipadkid.jpg

ผู้ปกครองหลายคนเลือกที่จะโยน tablet ให้กับลูกเพื่อตัดความรำคาญ มากกว่าที่จะลงมาเล่นด้วย แต่หารู้ไม่แทนทีอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยเสริมพัฒนาการกับจะไปขัดขวางพัฒนาการเสียมากกว่า  จากคำบอกเล่าของกุมารแพทย์หลาย ๆ เคส พูดถึงอาการของเด็กที่ติด tablet เอาไว้ว่า มีอาการลุกลี้ลุกลน สมาธิสั้น ปวดศีรษะเป็นระยะ และสายตาไม่สามารถจับโฟกัสได้ บางคนเลือกที่จะไม่พูด แสดงสีหน้าไม่เป็น หรือพูดไม่ได้ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะเกิดจากการให้เด็กเล่น Tablet ตั้งแต่ยังเล็กมากจนเกินไป โดยเฉพาะ 2-3 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่สมองเรียนรู้ได้รวดเร็วที่สุด

7. เราเป็นนักวางแผน และเคารพกติกาสังคม

รูปภาพ:http://cdn.meme.am/instances/500x/55184001.jpg

ต้องท้าวความไปยังสมัยก่อนที่เรายังไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือกันทุกทั่่วตัวคน เวลาที่จะนัดเพื่อนไปที่ไหนสักแห่ง เราต้องนัดล่วงหน้า กำหนดสถานที่ เวลา และต้องไปกันให้ตรงเวลา เพื่อที่จะได้ไม่คลาดกันไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน เพราะหากหลงกันก็จะหากันไม่เจอ บางครั้งต้องวางแผนว่าถ้าหลงกันจะไปเจอกันที่นั่นนู่นนี่  ดังนั้นในวัยของพวกเราจะมีการวางแผนอยู่ในหัวตลอดเวลา มีลำดับการคิดที่ดี และแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนค่ะ ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่สามารถกำหนดสถานที่หรือปรับเปลี่ยนเวลาได้อย่างง่ายดายเพียงแค่โทร หรือส่งข้อความหากัน

เด็กสมัยนี่มีความกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ ค่ะ แต่เรื่องมารยาทและการเคารพกติกาสังคมก็ต่ำลงเช่นกัน เด็ก ๆ เลือกที่จะให้ความใส่ใจกับตัวเองมากกว่าที่จะใส่ใจสังคมรอบข้าง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยค่ะ เราจะเห็นดราม่าการแสดงความคิดเห็นเรื่องการตัดผม หรือแต่งเครื่องแบบในทุก ๆ ปี  ซึ่งถ้าคิดด้วยเหตุผลแล้ว ทรงผมและเครื่องแบบเป็นส่วนหนึ่งในการสอดส่องดูพฤติกรรมนักเรียนเมื่ออยู่นอกโรงเรียน และให้ความเสมอภาคกับนักเรียนเมื่ออยู่ในโรงเรียน เป็นการลดปัญหาปวดหัวต่าง ๆ ที่จะเกิดกับผู้ปกครองค่ะ


" ลองสมมุติว่าเรามีลูกสาววัยมัธยมต้นแต่โรงเรียนให้ไว้ผมยาวได้และไม่ต้องแต่งเครื่องแบบ วันหนึ่งลูกของเราถูกล่อลวงเข้าโรงแรมม่านรูดที่ไม่มีการตรวจบัตรประชาชนกับผู้ชาย มีคนเห็นเยอะมาก แต่ไม่มีใครเอะใจเพราะลูกเราหน้าแก่มาก  เป็นเราจะรู้สึกอย่างไร?  "

8. เราถูกเลี้ยงมาโดย พ่อ และ แม่

รูปภาพ:http://www.cam.ac.uk/sites/www.cam.ac.uk/files/styles/content-580x288/public/news/research/news/grandma.jpg

ยุคนี้เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่มากค่ะ ค่าครองชีพ "โหดสัส" จริง ๆ ทำให้พ่อแม่ต้องออกทำงาน  และฝากลูกไว้ให้คุณตาคุณยายเลี้ยง

แล้วการทิ้งเด็กไว้กับตายายมันไม่ดีตรงไหน ในเมื่อพ่อกับแม่ท่านก็เลี้ยงมา?  จริง ๆ แล้วคนแก่จะมีลักษณะที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ค่ะ ตรงที่มีความขี้น้อยใจและต้องการความรัก จะรู้สึกไม่ดีหากจะถูกเกลียดแม้เพียงนิดเดียว ทำให้พวกท่านค่อนข้างเลี้ยงหลานอย่างตามใจ ไม่อยากขัดใจ เพราะกลัวหลานไม่รักเด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยคุณตาคุณยายส่วนใหญ่จึงมีลักษณะเอาแต่ใจ พูดไม่ฟัง ความอดทนต่ำค่ะ ถ้าโชคดีหน่อยเด็กเหล่านี้เมื่อโตขึ้นอาจจะคิดเองได้ แต่เราก็ไม่ได้โชคดีกันทุกคนจริงไหมคะ

ในความเป็นจริงเด็กทุกคนเติบโตมาโดยการปลูกฝังจากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง สังคม หรือสื่อค่ะ เด็กสมัยนี้มีโอกาสที่ดีในการเข้าถึงทุกอย่างที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย แต่ความสะดวกสบายก็เป็นเหมือนดาบสองคมเช่นเดียวกัน เพราะความสะดวกสบายมักถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ผลิตมากกว่าที่จะใส่ใจสังคม อาจจะเป็นความยากขึ้นไปอีกขั้นสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก ที่ผู้ปกครองต้องตั้งสติ "#Strong" และปรับตัวให้ทันเด็ก ๆ ในโลกที่เปลี่ยนไปค่ะ

ด้วยรักและอยากให้เด็ก ๆ เป็นคนดี เพราะ " เด็กคืออนาคตของมวลมนุษยชาติ ดิฉันรักเด็กค่ะ "

แอนนา  เบลล์