Chapter 05 ll ผู้มีพระคุณ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการของนักเขียนเท่านั้น เนื้อเรื่อง สถานที่ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เเละตัวละครไม่มีอยู่จริง ผู้อ่านที่น่ารักโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยจ้า ทั้งหมดคือการสมมติเพื่อเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดค่ะ

รูปภาพ:

เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายและกำลังของมิราวดีเริ่มตก เพราะไม่เคยต้องใช้แรงมากมายเท่านี้ พอเข้าตัวห้างสรรพสินค้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มีผู้คนค่อนข้างเยอะทำให้วิ่งหลบหนีได้ง่าย แม้จะมีคนมองทุกครั้งที่วิ่งผ่านหรือชน แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ ได้แต่กล่าวขอโทษในใจและวิ่งหนีต่อไป

“เฮ้ย อยู่ทางนั้น !”

“ทำไมตาดีขนาดนี้เนี่ย !” เธอบ่นพลางหันมองทั้งสองคนที่กำลังวิ่งตามทางบันไดเลื่อน แม้จะอยู่ห่างมากพอแต่ความไวของอีกฝ่ายก็ทำให้ประมาทไม่ได้

“เป็นนักวิ่งระดับชาติหรือไง !”

มิราวดีรู้ตัวดีว่าต้องหาสักที่หลบซ่อนไม่ให้หาเจอ แต่ถ้าเข้าห้องน้ำไปก็ไม่ปลอดภัย ถ้าหากไม่มีคนแล้วพวกนั้นบุกเข้ามา เหมือนไปติดกับเต็ม ๆ หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายจนเริ่มหาทางออกไม่ได้ แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ทว่าเธอก็ไม่มีโทรศัพท์หรือเงินติดตัวมาสักนิด ครั้นจะขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านก็รีบเดินหนีเธอทันที

ในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมาก ทำได้แต่วิ่งหนีไป กระทั่งหนีออกมาทางประตูของห้างที่เป็นลานรับส่งรถแล้ว ก็ยิ่งตัดสินใจลำบากว่าจะไปทางไหนต่อดี จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ทันเพราะพวกนั้นตามมาแล้ว

“นั่น ! อยู่ทางนั้น”


มิราวดีสะดุ้งลนลานเมื่อเห็นอีกฝ่ายห่างออกไปไม่ไกลมากนัก จึงรีบวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต ประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณการหลบหนีพอรับรู้ได้ว่าพวกนั้นกำลังตามมาประชิด พอมองหนทางข้างหน้ากลับมืดมิด หญิงสาวตั้งมั่นในใจว่าจะต้องหาที่หลบบังกายเพื่อให้พวกนั้นตามหาไม่เจอ แต่แทบไม่มีที่ให้หนีต่อไป

ดวงตากลมมองเห็นรถคันหนึ่งผ่านมาและหยุดจอดอยู่ พอหันไปด้านหลังก็เห็นทั้งสองคนกำลังวิ่งมา หญิงสาวไม่มีเวลาคิดเยอะนอกจาก...เปิดได้ทีเถอะนะ !

มิราวดีภาวนาในใจและเปิดประตูกระโดดขึ้นรถทันที ไม่มองแม้แต่เจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ หากจะแจ้งความจับก็ยิ่งดี พาเธอไปส่งตำรวจเลย !

พอเข้ามาแล้วก็ตั้งสติหันมองคนที่นั่งอยู่ในรถ จะให้ลงไปตอนนี้ก็ไม่ได้ มีแต่ต้องขออ้อนวอนเขา

“ออกรถก่อนได้ไหมคะ !” เธอสบตามองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอย่างอ้อนวอน ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่แต่ขอให้หลุดพ้นจากทั้งสองคนนี้ไปก่อน

รชตมองหญิงสาวที่เปิดประตูขึ้นรถมาด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะมองคนด้านนอกอีกสองคนที่กำลังวิ่งเข้ามา

“ออกรถได้”

เสียงที่พูดไม่ใช่เสียงของชายหนุ่ม แต่เป็นเสียงของไก่ตัวสีขาวที่อยู่ในกรงข้าง ๆ กับเธอ และคนขับรถก็ทำตามคำสั่ง มิราวดีอึ้งจนคิดว่าตนเองต้องเสียสติของไปแล้วแน่

“ไก่...พูดได้...” หญิงสาวมองเหมือนเป็นเรื่องประหลาดและตกใจจนเผลอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“จอดรถ” ชายหนุ่มสั่งและหันมองหญิงสาว “ลงไปได้แล้ว”

“คะ” มิราวดีอึ้งขานรับอย่างงง ๆ แต่พอนึกได้ว่าต้องเดินทางกลับต่อเองจึงพูดขึ้นว่า “คุณพอมีเงินให้ฉันไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะคืนคุณแน่นอนค่ะ นะคะ...คือฉัน...”

“ลงไปได้แล้ว”

“ถ้างั้นไปส่งฉันที่สถานีตำรวจทีนะคะ !” หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทางนี้

“ขอร้องเถอะนะคะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา มองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง ครั้นจะพูดต่อแต่ก็โดนแทรกขึ้นเสียก่อน

“อยู่ที่ไหนล่ะ” แน่นอนไม่ใช่เสียงของคนขับรถหรือชายหนุ่ม แต่เป็นเสียงของไก่ตัวสีขาวที่อยู่ในกรงขนาดกลาง

“เร็วสิ ! จะให้ไปส่งที่ไหน” เจ้าไก่ตัวสีขาวเอียงคอพูด

“อยู่ที่คอนโด...” หญิงสาวตอบแบบงง ๆ

เมื่อได้คำตอบ รถก็เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง รชตส่งสายตามองไก่ตัวผู้ที่อยู่ในกรงด้วยความขุ่นเคืองเป็นเชิงบอกว่า อยากเป็นไก่ต้มหรือไง !ยี่สิบนาทีต่อมารถยนต์คันหรูสีดำหยุดจอดลงที่หน้าคอนโดฯ ของมิราวดี เธอหันมองด้วยความโล่งใจและยกมือขึ้นขอบคุณชายหนุ่ม

“ขอบคุณมากนะคะ ฉันสัญญาว่าจะตอบแทนบุญคุณคุณแน่นอน”

“หนีหนี้มาสินะ” เจ้าไก่เอ่ยขึ้น

“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว ถึงจะบอกว่าใช่ก็ไม่ถูกเพราะไม่ใช่หนี้ของเธอสักหน่อย  หญิงสาวผ่อนลมหายใจหันไปมองชายหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

กล่าวขอบคุณก่อนที่จะรีบลงจากรถ เพราะเห็นสีหน้าของชายหนุ่มดูไม่พอใจเท่าไหร่ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ บ้างที่อาศัยรถเขามาส่งแต่ความโล่งใจที่เกิดขึ้นและอิสระที่หนีมาได้ ทำให้รู้สึกว่าสวรรค์ยังเมตตา แน่นอนว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกไม่ได้ หากพวกนั้นถามถึงที่อยู่จากแฟนและตามมาละก็ทุกอย่างคงจบกันแน่นอน