*~บทที่ 16~*

ความเคลือบแคลงใจและความไหวหวั่น เป็นสองสิ่งที่รบกวนจิตใจของจิตติมาอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งสาเหตุของความไม่สงบสุขหรือในที่นี้หมายถึงสภาวะว้าวุ่นที่ก่อตัวภายในจิตใจก็คงหนีไม่พ้นชายหนุ่มสองคนที่เข้ามาพัวพันชีวิตของเธอในช่วงเวลานี้

เป็นเวลาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่ที่หญิงสาวเข้ามาทำงานยังบริษัทโฆษณา ชายหนุ่มคนแรกก็อาสาเป็นคนขับรถคอยเทียวรับเทียวส่งเธออยู่ไม่ขาด ซึ่งชายหนุ่มที่ว่านั้นก็คืออัศนัยผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิท

ยามที่ผู้ช่วยสาวได้ใช้เวลาใกล้ชิดอยู่กับเขาทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เธอก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ข้าราชการหนุ่มคนนี้มอบให้ ยิ่งเมื่ออยู่ด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัย ที่ผ่านมาเจ้าหล่อนรับรู้เพียงแค่ว่า อัศนัยคือพี่ชายที่แสนดีที่ให้ความสำคัญกับเธอเช่นเดียวกับน้องสาวแท้ๆ ของเขา แต่พักหลังๆ จิตติมากลับรู้สึกได้ว่าพี่ชายคนนี้กลับเริ่มทำตัวผิดแผกไปจากแต่ก่อน ดังเช่นเวลาที่มารับเธอยังที่ทำงาน ชายหนุ่มก็มักจะมีของฝากจำพวกขนมหวานมาให้อยู่เสมอ นอกจากนี้ก็ยังมีโบว์ผูกผม ของกระจุกกระจิกสำหรับผู้หญิง อีกทั้งยังมีหนังสือที่รวบรวมบทความดีๆ ด้วยเช่นกัน และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คงจะเป็นดอกทานตะวันที่สั่งตรงมาจากไร่ที่สระบุรี

จิตติมารู้สึกแปลกใจที่ชายหนุ่มทราบได้อย่างไรว่าตนชอบดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ หญิงสาวนึกถึงนันทวดีเป็นคนแรก เพราะเธอทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน หนำซ้ำอัศนัยก็เป็นพี่ชายของเจ้าหล่อนด้วย ไม่แน่ว่าเพื่อนของเธอกำลังทำหน้าที่เป็นแม่สื่ออยู่ก็เป็นได้ แต่ด้วยความที่อัศนัยยังไม่แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน และไม่เคยเอ่ยออกมาด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกกับเธออย่างไร จึงทำให้หญิงสาวยังไม่กล้าฟันธง เพราะไม่อยากคิดมากไปเองฝ่ายเดียว

ทางด้านยุทธ ชายหนุ่มอีกคนผู้อยู่ในฐานะนายจ้าง อันที่จริงแล้วหญิงสาวรู้จักกับเขาก่อนที่จะกลายมาเป็นเจ้านายของเธอเสียด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่คนทั้งคู่ได้พบและพูดคุยกัน หัวใจของผู้ช่วยสาวก็มักจะเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่ครั้งแรกที่ได้เจอ

ครีเอทีฟหนุ่มคนนี้เป็นผู้ชายที่ทำให้เธอหวั่นไหวอยู่บ่อยครั้ง เพราะด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์ แค่นี้ก็ทำให้หัวใจลูกผู้หญิงของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ยิ่งเจ้าหล่อนได้มาเป็นผู้ช่วยของเขาและรับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ ตลอดจนความห่วงใยที่เขามี หญิงสาวก็พยายามจะไม่คิดไปไกลเกินกว่าความเป็นเจ้านายและลูกน้อง

เธอพยายามข่มใจและข่มความคิด เพราะไม่อยากให้หัวใจหลุดลอยไปเองข้างเดียว เจ้าหล่อนกลัวเจ็บ หากรู้ว่าสิ่งที่เขาทำไปไม่ใช่สิ่งที่เธอเพ้อฝัน เหมือนกับอัศนัยที่เขาเองก็ไม่แสดงออกอย่างชัดเจนเวลาที่อยู่กับเธอ

ความผิดแปลกที่เกิดขึ้นรบกวนจิตใจของจิตติมาได้ไม่เว้นวัน บางครั้งเธอก็มีความสุขในสิ่งที่คนทั้งคู่ได้มอบให้ แต่บางเวลาเธอกลับทุกข์ใจเพราะความไม่แน่ใจในทั้งสองคน ดังเช่นในช่วงเช้าของวันนี้ที่อัศนัยมอบกล่องของขวัญให้แก่หญิงสาวในขณะที่เขากำลังขับรถไปส่งเธอยังที่ทำงานเหมือนปกติ

จิตติมารับกล่องของขวัญมาอย่างงุนงง ซึ่งกล่องนั้นเป็นกล่องขนาดเล็กที่ห่อด้วยกระดาษสีทองดูมีราคา พร้อมกับมีโบว์สีขาวผูกประดับไว้อยู่ด้านบน หญิงสาวแกะโบว์เส้นนั้นด้วยความสงสัย เผยให้เห็นสร้อยคอสีทองที่ประดับจี้รูปดอกทานตะวันวางอยู่ด้านใน ตรงกลางส่วนที่เป็นเกสรของดอกประดับด้วยเม็ดพลอยสีเหลือง หล่อนนั่งนึกไปมาว่า เพราะเหตุใดเขาถึงให้สร้อยคอเส้นนี้แก่เธอ ???

ผู้ช่วยสาวมองดูอัศนัยพลางร้องถามเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากรอยยิ้มบวกกับคำพูดสอง-สามคำเป็นเชิงว่าเขาแค่อยากให้เธอสวมมัน

อัศนัยขับรถมาส่งจิตติมายังหน้าบริษัท หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงเดินขึ้นอาคารสำนักงานไปจนลับสายตาของชายหนุ่มผู้เป็นสารถี

แม้ว่าของขวัญที่เจ้าหล่อนได้รับจะสร้างความฉงนและทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แต่นั่นก็ทำให้หญิงสาวหวั่นไหวได้เพียงชั่วครู่ ครั้นรถกระบะปิดประทุนสีทองคันใหญ่ได้เคลื่อนตัวออกไปจากหน้าอาคาร ชายหนุ่มผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าต่างด้านบนก็หันหน้ากลับเข้ามาในห้องตามเดิม เมื่อรู้ว่าผู้ช่วยสาวของเขาได้เดินทางมาถึงแล้ว เธอคงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเขามาถึงก่อน

“ ผู้ชายคนนี้โชคดีจังเลยนะครับ มีโอกาสได้มารับมาส่งคุณด้วย ” ครีเอทีฟหนุ่มกล่าวกับจิตติมาทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามา แล้วก็เป็นจริงดังคาด เจ้าหล่อนประหลาดใจเมื่อเห็นผู้เป็นนาย

“ คุณยุทธ...มาแต่เช้าเชียวนะคะ ” เธอตะกุกตะกักทักทาย พลางกลบเกลือนเรื่องที่เขาพูดก่อนหน้า

“ พอดีผมมาตรวจความเรียบร้อยก่อนออกกองน่ะครับ ” ชายหนุ่มพูดถึงเรื่องการถ่ายภาพนิ่งสินค้าในวันนี้

จิตติมาตาลุกวาวพลางตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำว่าออกกองเพราะความฝันของหญิงสาว คือการได้ทำงานในกองถ่ายสักครั้งหนึ่ง เธออยากรู้ และอยากเห็นกระบวนการการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ด้วยเหตุนี้เธอจึงลาออกจากบริษัทเก่าเพื่อมาสมัครงานที่นี่


“ อ่อค่ะ...แล้วพอมีอะไรให้ฉันช่วยบ้างไหมคะ ?? ” หล่อนถามอย่างกระตือรือร้น

“ ก็มีครับ...มีเยอะเลย อย่างเช่น วันนี้ผมอยากให้คุณช่วยจัดคิวงานเลี้ยงที่ผมต้องไปในสัปดาห์หน้าหน่อย และก็อยากให้หาเวลาว่างของผมในวันจันทร์ เพื่อจะได้เจียดเวลาออกไปคุยงานกับลูกค้า ไม่เอาเวลาพักเที่ยงนะ!! จากนั้นก็... ” ชายหนุ่มเริ่มสาธยายถึงสิ่งที่เขาต้องการจะให้เธอทำ

จิตติมารีบหยิบสมุดจดและปากกาขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย เมื่อรับรู้ว่าจำเป็นที่จะต้องใช้มัน พระเจ้า!!! สงสัยฉันคงอดไปอีกตามเคย...เธอนึกอย่างเบื่อหน่าย และเริ่มรู้สึกได้ว่าตนคิดผิดหรือเปล่าที่มาทำงานที่นี่ เพราะที่ผ่านมาเวลามีการออกกองทีไร หญิงสาวจะถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องเพื่อทำงานเอกสาร หรือไม่ก็คอยติดต่อประสานงานกับลูกค้าอยู่อย่างนั้น จนถึงกับอดคิดไม่ได้ว่างานที่เธอทำอยู่ทุกวันนี้ คืองานเลขานุการดีๆ นี่เอง

“ ...อ้อ!! และที่สำคัญ วันนี้ผมอยากให้คุณช่วยผมดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดภายในกองถ่าย และเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย...จะได้ไหมครับ ? ” เขาถาม

จิตติมารู้สึกประหลาดใจในรายการสุดท้ายของสิ่งที่เขาอยากให้เธอทำ หญิงสาวกดปากกาลงบนกระดาษอยู่อย่างนั้นแทนที่จะเขียนอะไรลงไป หล่อนไม่คาดคิดว่าครั้งนี้เขาจะชวนเธอให้ไปช่วยงานที่กองถ่ายด้วย

“ ด...ได้ค่ะ ” ผู้ช่วยสาวหนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะตอบออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพราะยังคิดว่าตนฝันไป หรือไม่ก็หูเพี้ยน

ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังสตูดิโอ ซึ่งอยู่เกือบชั้นบนสุดของตัวอาคาร

ครั้นพอเจ้านายหนุ่มก้าวพ้นจากประตูไปเท่านั้น หญิงสาวก็ดีใจพลางกระโดดจนตัวลอย เธอตื่นเต้นที่จะได้ออกกองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้ทำงานมา เจ้าหล่อนรีบตรงรี่ไปที่โต๊ะประจำตำแหน่ง แล้วจัดแจงทำงานที่ผู้เป็นนายสั่งไว้ให้เสร็จ จากนั้นจะได้ตามไปสมทบกับเขาที่สตูดิโอชั้นบน

ความรู้สึกที่พิเศษถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่เธอได้มาทำงานยังบริษัทแห่งนี้เป็นวันแรก หญิงสาวฉีกยิ้มอย่างปริ่มใจขณะที่ลิฟท์พาเธอขึ้นไปยังชั้นบนของอาคาร และเมื่อประตูลิฟท์ถูกเปิดออก หัวใจของจิตติมาก็พองโตเหมือนลูกโป่ง และเตรียมพร้อมที่จะแตกออกถ้าหากใครเอาเข็มไปทิ่มมัน

ความตื่นเต้นของหญิงสาวทวีคูณเพิ่มมากขึ้น เมื่อเธอได้เห็นการทำงานของพนักงานที่คุมกองเดินขวักไขว่อยู่ภายในนั้น

หล่อนก้าวเท้าออกมาจากลิฟท์ แล้วเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณ ซึ่งเธอได้พบเห็นทั้งช่างภาพ ช่างไฟ สไตลิสต์ ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม และนางแบบทั้งสามคนที่กำลังแต่งตัวเตรียมเข้าฉาก ซึ่งบางคนก็ดูคุ้นหน้า เพราะเคยเห็นผ่านตาจากในจอโทรทัศน์มาบ้างแล้ว แม้กระทั่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ไว้ใช้สำหรับถ่ายภาพนิ่งอย่างโลชั่นบำรุงผิวก็ได้ถูกเตรียมไว้แล้วเช่นกัน และด้านหลังตรงนั้นก็คือยุทธ ซึ่งกำลังยืนคุยกับพนักงานชายคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องฉากถ่ายภาพ

“ คุณยุทธคะ...ฉันมาแล้วค่ะ ” หญิงสาวเดินเข้าไปทักทาย เป็นสัญญาณเพื่อให้เขาเห็น

ชายหนุ่มยิ้มให้ก่อนกล่าวขึ้น “ ผมกำลังรอคุณอยู่เลย ”

ยุทธหันไปคุยกับพนักงานกองที่เขาคุยค้างไว้อยู่ก่อนหน้านั้นสอง-สามคำ จากนั้นเขาก็หันกลับมาคุยกับเธอ

“ ดูเหมือนจะมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ฉาก ” เขาว่า

“ ทำไมคะ...มันชำรุดเหรอ ? ” เธอถาม

“ ก็...ทำนองนั้น เอาเป็นว่าคุณมาช่วยผมจัดการในส่วนของเรื่องภาพถ่ายสินค้าดีกว่านะ ดูท่าทางจะเหมาะกับคุณดี ” ชายหนุ่มเสนอพลางชวนให้เธอเดินตามมา

“ คุณพอเข้าใจในส่วนของอุปกรณ์กล้อง หรือเรื่องการถ่ายภาพนิ่งบ้างไหม ? ” เขาถาม

“ พอเข้าใจค่ะ แต่ก็ไม่มาก... ” หล่อนตอบ

ยุทธส่งยิ้มให้ในความซื่อของผู้ช่วยสาว จากนั้นจึงเดินไปหยิบกล้องที่เตรียมใช้งานขึ้นมา

“ การถ่ายภาพเนี่ย...ไม่ใช่แค่การบันทึกภาพเพื่อเก็บไว้ดูเล่น หรือแค่เก็บบรรยากาศความประทับใจของสิ่งที่เราพบเห็นไว้เท่านั้นนะครับ แต่มันยังสามารถช่วยเล่าเรื่อง และสื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึกของสิ่งที่เราถ่ายเก็บเอาไว้ด้วย ” ชายหนุ่มอธิบาย


“ ยังไงหรือคะที่ว่า สื่อถึงอารมณ์ ?? ” เธอถามกลับ

เขาไม่พูดอะไร แต่กลับหันไปถ่ายภาพพัดลมตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางด้านข้างแทน

“ บอกหน่อยสิว่าคุณเห็นอะไรในภาพนี้ ? ” ชายหนุ่มถาม พลางยื่นกล้องให้หญิงสาวดูภาพที่อยู่ในจอแสดงผล

“ ก็...พัดลมไงคะ” หล่อนตอบ

เขาอมยิ้มก่อนที่จะถามคำถามซ้ำ “ แล้วคุณเห็นอะไรอีก ?

จิตติมามองยุทธอย่างสงสัย เธอมองดูรูปนั้นจากในจออีกครั้ง แล้วจึงตอบออกไป “ ใบพัด...กำแพง... ”


ชายหนุ่มถึงกับแค่นหัวเราะออกมา “ คุณนี่เป็นผู้ช่วยผมได้ยังไง ?? ”

เจ้าหล่อนรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยในสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ไม่วายที่จะถามเขากลับ

“ แล้วคุณเห็นอะไรบ้างล่ะคะ...คุณยุทธ ?? ”

ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว จากนั้นจึงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะให้คำตอบ

“ ผมเห็น...ความสงบนิ่ง ”

ซึ่งจากคำตอบนั้น กลับชวนให้เธอต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน


ยุทธไม่ได้พูดอะไรอีก เขายกกล้องขึ้นพร้อมกับบอกให้เธอมองมาที่มันแล้วฉีกยิ้ม หญิงสาวรู้สึกประดักประเดิดที่จะทำอย่างนั้น แต่เขาก็ขอร้องจนเธอยอมทำตามที่สั่ง เจ้าหล่อนถึงกับแสดงอาการนั้นออกมาอย่างเขินอาย ครีเอทีฟหนุ่มจึงกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพของเธอลงไป

“ คุณดูดีมากเลย...ผมว่าคุณยิ้มน่ารักดีนะ ” เขาพูดเพื่อให้ผู้ช่วยสาวหายจากอาการประหม่า

“ ถ้าอย่างนั้นผมขอถ่ายรูปคุณอีกสักภาพนะครับ ” เขากล่าว

หญิงสาวรู้สึกดีใจเมื่อได้รับคำชม เธอยิ้มออกมาอีกครั้งเพื่อให้เขากดชัตเตอร์

จากนั้นชายหนุ่มจึงให้ผู้ช่วยสาวดูภาพที่เขาถ่ายทั้งสองครั้ง พลางถามกับเธอเป็นรอบที่สองว่า เธอเห็นอะไร ?

“ ก็เห็น....ตัวฉันไงคะ ตัวฉันที่กำลังยิ้ม ” เธอตอบ

“ ครับ...แล้วทีนี้บอกผมหน่อยสิว่า สองภาพนี้แตกต่างกันอย่างไร ? ” ยุทธถามอีก

หญิงสาวมองดูภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอของกล้อง จากนั้นจึงกดปุ่มเลื่อนภาพสลับกันไปมา เพื่อสังเกตหาความแตกต่าง

“ แสงเงามั้งคะ ?? หรือท่าทางที่ฉันยืน ” จิตติมาตอบ

ชายหนุ่มฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับคำตอบของเธอก่อนที่เขาจะเฉลย

“ ที่จริงแล้วทั้งสองภาพนี้แทบจะไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย ถ้าคนที่มองผ่านๆ หรือมองแค่ความสวยงาม ก็จะบอกว่าคุณมีรอยยิ้มที่น่ารัก สดใส แต่ถ้าหากมองลึกลงไปถึงความรู้สึกข้างใน ก็จะรู้โดยทันทีว่าสองภาพนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ” ครีเอทีฟหนุ่มกล่าว

“ ยังไงเหรอคะ ? ” เธอถามกลับ

ยุทธยื่นกล้องเพื่อให้จิตติมาดูภาพจากหน้าจอแสดงผลอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากดปุ่มขยาย จึงทำให้ภาพใบหน้าของหญิงสาวดูใหญ่ขึ้นจนเต็มกรอบ

“ คุณเห็นแววตาของคุณในภาพนี้ไหม มันฟ้องว่าคุณกำลังมีความกังวลอยู่ในใจ ดูไม่มีความสุข ถึงแม้ว่าคุณจะยิ้มอยู่ก็ตาม...นั่นอาจเป็นเพราะคุณต้องยิ้ม เพราะผมบอกให้คุณยิ้ม ทั้งที่ความจริงคุณอาจจะไม่รู้สึกอยากทำอย่างนั้นเลยก็ได้ ” เขาอธิบายเมื่อให้เธอดูภาพที่ถ่ายครั้งแรก จากนั้นชายหนุ่มจึงกดเลื่อนไปยังอีกภาพหนึ่งแล้วกดปุ่มขยายเช่นกัน

“ แต่พอภาพนี้...แววตาของคุณดูมีความสุข เหมือนคุณรู้สึกดีกับบางอย่างจนคุณต้องยิ้มออกมา ” เขาพูด

“ ก็นั่นเพราะคุณชมฉันนี่ ” จิตติมาบอก

“ เห็นไหมล่ะ!! ก็เพราะผมอยากให้คุณรู้ไงว่า บางทีภาพถ่ายมันก็ช่วยบอกถึงอารมณ์ และสื่อถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ ไม่ได้ให้มองเพียงแค่ความสวยงามที่ฉาบฉวย อย่างเช่น...ถ้าคุณไปเที่ยวภูเขาหรือทะเล แล้วคุณเห็นบรรยากาศหรือประทับใจกับความสวยงามนั้นๆ คุณก็อาจจะถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นเพื่อที่ระลึก แต่บางทีหรือความเป็นจริง ภูเขาและทะเลเหล่านั้นอาจกำลังเสียใจ หรือรำคาญนักท่องเที่ยวที่มารบกวนอยู่ก็ได้ ” เขาว่า

“ คุณนี่คิดเยอะไปไหม ? ” ผู้ช่วยสาวย้อนถามพลางกอดอก

ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ “ แน่นอนล่ะ!! ก็ผมเป็นครีเอทีฟนี่ ”

จิตติมามองดูเขา แล้วฉีกยิ้มให้ในความยอกย้อน...

“ คุณยุทธครับ... ” เสียงพนักงานชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้สองหนุ่มสาวหันกลับไปมอง

“ ...ฉากถ่ายภาพที่ให้ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ” พนักงานผู้นั้นว่า

ครีเอทีฟหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ ก่อนที่จะชักชวนผู้ช่วยสาวให้เดินไปที่ฉากถ่ายภาพนั้นด้วยกันเพื่อเตรียมตัว

เมื่อสองหนุ่มสาวมาถึงก็พบว่าเหล่าทีมงานอย่างช่างกล้อง ช่างไฟ และฝ่ายฉากก็ได้ดำเนินงานตามหน้าที่ของตนในขั้นตอนแรกสำเร็จลุล่วงหมดแล้ว เหลือก็แต่รอถ่ายภาพเท่านั้น จิตติมามองดูผลิตภัณฑ์ที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม ซึ่งตั้งเรียงกันอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า

ยุทธกางนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทั้งสองข้างของเขาประกบกัน เพื่อทำการวัดองศา โดยอาศัยการกะสายตามองผ่านนิ้วทั้งสี่ไปที่ผลิตภัณฑ์นั้น

“ ฝ่ายประสานงานอยู่ไหน ?? ” ชายหนุ่มหันหน้าพลางร้องหาพนักงาน

“ คะ...คุณยุทธ ” พนักงานสาวตอบรับ

“ ไปเรียกนางแบบให้มาเตรียมตัวได้แล้ว...ทางนี้ทุกอย่างเรียบร้อย ” เขาบอก

เจ้าหล่อนรับคำก่อนที่จะเดินออกไป ทำให้จิตติมาสังเกตเห็นถึงความเอาจริงเอาจัง และความเป็นมืออาชีพของผู้เป็นนาย

ยุทธหันมาสบตาเข้ากับเธอพอดี หญิงสาวจึงทำทีเป็นหลบ

“ คุณเจี๊ยบ ” เขาร้องเรียก

“ คะ... ” เธอขานรับ พลางสะดุ้งเล็กน้อย

“ คุณช่วยไปยืนด้านหลังสินค้าหน่อยได้ไหม ผมจะให้ช่างภาพกับช่างไฟได้วัดแสง ” ยุทธเสนอ

จิตติมาพยักหน้ารับในสิ่งที่ผู้เป็นนายขอ ผู้ช่วยสาวเดินไปที่ด้านหลังผลิตภัณฑ์แล้วยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น

ชายหนุ่มถึงกับแค่นหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีอาการตื่นเต้น

“ โพสท์ท่าหน่อยก็ได้นะคุณเจี๊ยบ...ไม่ต้องยืนตัวแข็งเป็นหินอย่างนั้นหรอก ” เขาแซว พลางมองดูเจ้าหล่อนจากจอแสดงภาพในกล้องสลับกับจุดที่ยืนอยู่จริง

จิตติมาฉีกยิ้มอย่างเจื่อนๆ ด้วยท่าทีที่เขินอาย เธอไม่คุ้นชินกับการที่เป็นจุดสนใจต่อคนหมู่มากเช่นนี้

“ คุณยุทธครับ...เดี๋ยวผมจะลองต่อกล้องเข้ากับคอมพ์ฯ ด้วยเลยละกัน จะได้เช็กแสงจากในนั้นด้วยอีกทาง ” ตากล้องหนุ่มเสนอ ซึ่งยุทธก็เห็นด้วยกับเขาเพราะจะได้ไม่เสียเวลาขณะที่รอเหล่านางแบบ

“ ...ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณยุทธไปยืนข้างคุณเจี๊ยบด้วยครับ เพื่อผมจะได้จัดแสงหากต้องถ่ายนางแบบหลายคน ” คนจัดไฟแสดงความคิดเห็นบ้าง

เมื่อได้ยินดังนั้น ครีเอทีฟหนุ่มกลับมีท่าทีที่ขวยเขินขึ้นมาเช่นกัน แต่ด้วยความที่เป็นมืออาชีพและต้องการให้ทุกอย่างราบรื่น เขาจึงปฏิเสธไม่ได้

ชายหนุ่มเดินไปยืนอยู่ทางด้านข้างของจิตติมา แต่ยังคงรักษาระยะห่างไว้เพราะต้องการที่จะให้เกียรติเธอ ทางด้านหญิงสาวเองก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าของเธอร้อนผ่าวและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงยามที่อยู่ใกล้กับเขา

“ ช่วยเขยิบให้ชิดกันหน่อยได้ไหมครับ จะได้ไม่หลุดเฟรม ” ตากล้องเริ่มแซว ซึ่งทั้ง

ครีเอทีฟหนุ่มและผู้ช่วยสาวต่างก็พยักหน้ารับคำ จากนั้นจึงค่อยๆ เขยิบกายประชิดตัวเข้าหากันตามที่ช่างภาพหนุ่มบอก จนไหล่ของคนทั้งคู่แนบชิดติดกัน

ทั้งยุทธและจิตติมาต่างสบตายามที่รู้สึกว่าตนกำลังโดนตัวของอีกฝ่าย หญิงสาวใจเต้นแรงมากขึ้น ขณะเดียวกับที่ยุทธเองก็เริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ซึ่งทั้งตากล้อง ช่างไฟ และทีมงานทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างสังเกตเห็นได้ถึงอาการของคนทั้งคู่ ทั้งหมดต่างรู้โดยทันทีว่าสองคนนี้เริ่มมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เหล่าพนักงานเริ่มหันหน้ามองกันและอมยิ้มอยู่อย่างนั้นราวกับรู้ได้ว่า อีกไม่นานคงมีข่าวดีเกิดขึ้น…

“ ระวังครับ...ฉากล้ม!!! ” เสียงๆ หนึ่งตะโกนขึ้นมาจากทางด้านหลัง

ทั้งยุทธและจิตติมาตลอดจนเหล่าทีมงานทุกคนต่างหันไปมอง

“ คุณเจี๊ยบ!! ” ยุทธร้องพลางผลักหญิงสาวออกไปจากตรงนั้น

จิตติมาถอยกรูดออกมาเพราะแรงผลัก ซึ่งพอดีกับที่คานตั้งฉากล้มลงอย่างแรงและทับเข้ากลับกลางหลังของยุทธ เขาล้มลงพลางนอนคว่ำหน้า

“ คุณยุทธคะ...คุณยุทธ ” ผู้ช่วยสาวร้องอย่างตกใจ

ครีเอทีฟหนุ่มนอนกองอยู่กับพื้นดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พลางส่งเสียงอย่างเจ็บปวดออกมาจากลำคอด้วยความแผ่วเบา

ทีมงานคนอื่นๆ ต่างรีบรุดมาดูเหตุการณ์ พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามจะรีบเข้าช่วย แต่จิตติมากลับขอร้องทีมงานไม่ให้เคลื่อนย้ายยุทธ เพราะกลัวจะเกิดการกระทบกระเทือนต่อกระดูก

“ เรียกรถพยาบาลดีกว่าค่ะ...เรียกรถพยาบาล!!! ” เธอร้องบอก พลางมองดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี

ยุทธค่อยๆ หลับตาลงหลังจากที่มองเห็นจิตติมาและทีมงานคนอื่นๆ เข้ามามุงดู ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะไม่ได้สติ...

+++++++++++++++++++++++++++++

ดวงอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากทิศหนึ่งไปอีกทิศหนึ่งในยามบ่าย ยิ่งทำให้แสงแดดที่สาดฉายมาทวีอุณหภูมิมากยิ่งขึ้น เป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงแล้วที่ครีเอทีฟหนุ่มนอนหลับอย่างไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นคนไข้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

จิตติมามองดูเจ้านายของตนที่นอนหายใจรวยรินด้วยความเป็นกังวล ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดและเย็นเฉียบในห้องพัก

หลังจากที่เจ้าหล่อนรู้สึกกังวลใจอยู่หลายชั่วโมง ครีเอทีฟหนุ่มก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เขามองเห็นพื้นเพดานสีขาวอมชมพูที่อยู่ด้านบน จากนั้นจึงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า จนในที่สุดก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพักของโรงพยาบาล โดยมีผู้ช่วยสาวของเขา และพนักงานชาย-หญิงอีกคู่หนึ่งกำลังนั่งเฝ้าอยู่

ชายหนุ่มค่อยๆ หันหน้ามาทางพวกเขาทั้งสาม สีหน้าของเขาดูอิดโรยแทบไม่มีเรี่ยวแรง

“ คุณยุทธ...คุณยุทธฟื้นแล้ว!! ” จิตติมากล่าวขึ้น พลางเดินไปหาเขาที่เตียงด้วยความเป็นห่วง

“ ผม...หิวน้ำจัง ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

หญิงสาวจึงรีบรินน้ำจากเหยือกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงใส่ลงในแก้ว จากนั้นจึงนำหลอดสีขาวที่วางอยู่ข้างกันหย่อนลงไป

ยุทธผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย พลางมองดูเธอขณะที่กำลังยื่นแก้วน้ำให้ ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ตาเบิกกว้างเป็นเชิงขอบคุณขณะกำลังดูดน้ำขึ้นมาจากหลอดที่เธอป้อน

“ คุณยุทธได้พยาบาลดีอย่างนี้...สงสัยคงจะหายไวนะคะ ” พนักงานสาวที่มาด้วยกันกล่าวขึ้น เมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งคู่

“ ผมว่าคุณยุทธคงอยากนอนป่วยนานๆ มากกว่า ถ้ามีคุณเจี๊ยบคอยดูแลอย่างนี้ ” พนักงานหนุ่มอีกคนพูดขึ้นบ้าง

จิตติมาหน้าแดง เมื่อได้ยินสิ่งที่ทีมงานทั้งสองคนกล่าว

ยุทธเองก็เช่นกัน เขาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะคายหลอดดูดน้ำออกมาหลังจากที่ดื่มพอแก้กระหายแล้ว

“ ฉันโทรฯ บอกคุณอมรแล้วนะคะ เรื่องที่คุณประสบอุบัติเหตุ ” ผู้ช่วยสาวพูดขึ้น

“ แล้ว...หมอบอกบ้างหรือเปล่าว่าอาการของผมเป็นอย่างไร ?? ” ชายหนุ่มถาม

“ คุณหมอบอกว่าต้องรอดูอาการอีกสอง-สามวันน่ะค่ะ โชคดีที่กระดูกสันหลังของคุณไม่แตกหรือร้าว แต่ก็มีแผลฟกช้ำอยู่ที่ด้านนอกบ้าง เขาเลยอยากให้คุณยุทธนอนอยู่เฉยๆ อย่าขยับตัวมาก ” เธอว่า

“ แล้วงานที่กองวันนี้ล่ะครับ ? ” เขาถามอีก

“ คุณยุทธไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พนักงานที่กองรับช่วงต่อแล้วค่ะ ” จิตติมาอธิบายเพื่อให้ชายหนุ่มคลายความกังวล

เมื่อได้ยินดังนั้น ครีเอทีฟใหญ่จึงค่อยๆ ฉีกยิ้มออกมาอย่างสบายใจ…

“ คุณยุทธครับ...ผมว่าจะกลับไปเช็กอุปกรณ์ที่บริษัท...ยังไงก็หายไวๆ นะครับ ” พนักงานชายพูดขึ้น แล้วสะกิดเรียกพนักงานหญิงที่มาด้วยกันเป็นเชิงส่งสัญญาณ

“ ฉ...ฉันก็ต้องไปเหมือนกันค่ะ น้องธุรการกองฯ ส่งข้อความมาเรียก ” พนักงานสาวพูดขึ้นบ้าง

“ อ้าว!!...กลับกันหมดอย่างนี้ แล้วใครจะอยู่เฝ้าคุณยุทธล่ะคะ ?!! ” จิตติมาถามพนักงานทั้งสอง

“ ก็คุณเจี๊ยบไงครับ...คุณเจี๊ยบเป็นผู้ช่วยคุณยุทธ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคุณแล้วล่ะ!! ” พนักงานชายบอก

หญิงสาวอ้าปากค้าง พลางทำสีหน้างุนงง

“ สงสัย...คุณคงต้องอยู่เฝ้าผมก่อนแล้วล่ะครับ จนกว่าจะถึงเวลางดเยี่ยม ” ยุทธพูดพลางส่งยิ้มให้

หญิงสาวขมวดคิ้วพลางทำสีหน้างุนงงหนักกว่าเดิม เธอหันมามองเจ้านายหนุ่มที่บัดนี้นอนฉีกยิ้มอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์

“ ถ้าอย่างนั้นพวกผมกลับกันก่อนนะครับ...สวัสดีครับคุณยุทธ สวัสดีครับคุณเจี๊ยบ ” พนักงานชายกล่าวพลางยกมือไหว้

“ หายไวๆ นะคะคุณยุทธ...สวัสดีค่ะ ” พนักงานสาวกล่าวลาบ้าง จากนั้นทั้งคู่จึงเดินออกจากห้องไป

จิตติมาทรุดตัวนั่งนิ่งที่เก้าอี้ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่เธอถูกทิ้งให้อยู่กับยุทธเพียงสองต่อสองในห้องพักของโรงพยาบาลเหรอนี่ ?!!

“ คุณเจี๊ยบ...เป็นอะไรครับ...นั่งนิ่งเชียว ?!! ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย

“ อ...เอ่อ เปล่าค่ะ ม...ไม่มีอะไร!! ” เธอรีบแก้ต่าง แต่ใบหน้าของเธอกลับยิ่งแดงระเรื่อจนเขาสังเกตได้ หญิงสาวเขินอายอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่กับเขา

ชายหนุ่มมองดูเธอแล้วอมยิ้ม ก่อนที่จะตั้งคำถามกับตนเองว่า เขาเริ่มเผลอแอบยิ้มคนเดียวในขณะที่มองดูเธอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ครีเอทีฟใหญ่ชักไม่แน่ใจตนเองแล้วว่าที่ผ่านมาเขารู้สึกอย่างไรกับเธอกันแน่ หรือบางทีเขารู้สึกกับเธอแบบนี้มาตลอด แต่แค่ยังไม่กล้าพอที่จะยอมรับฟังเสียงหัวใจของตนเอง

“ คนไข้ฟื้นแล้วเหรอคะ ? ” พยาบาลสาวเดินเข้ามาในห้องพลางส่งเสียงถาม ทำให้ทั้งสองหนุ่มสาวหันไปที่เธอผู้นั้น

“ ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว...ได้เวลาเช็ดตัวคนไข้แล้วค่ะ ญาติจะเช็ดตัวให้ไหมคะ ? ” หล่อนถามอีกครั้งพลางเหลือบมาที่จิตติมา

“ อ...เอ่อ ” ผู้ช่วยสาวอึกอัก เธอพยายามจะแก้ต่างว่าตนไม่ใช่ญาติของเขาและขอปฏิเสธที่จะเช็ดตัวให้

“ อ๋อ!! ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผมเช็ดตัวเอง ” ยุทธแทรกขึ้น

เมื่อได้ยินดังนั้นพยาบาลสาวจึงพยักหน้า พลางฉีกยิ้มให้แก่เขาก่อนที่จะเดินออกไป

ยุทธมองจิตติมา พลางทำทีเป็นยื่นหน้าให้เธอเอาผ้ามาเช็ดตัวให้เขา หญิงสาวอ้าปากค้างเพราะตกใจในสิ่งที่ชายหนุ่มขอให้เธอทำ

“ นะครับคุณเจี๊ยบ คิดเสียว่าช่วยคนป่วยอย่างผมหน่อยละกัน ” เขาอ้อนวอน

จิตติมารู้สึกตื่นเต้น เธอเหนียมอายเกินกว่าที่จะเช็ดตัวให้เขา แต่พอเจ้านายหนุ่มอ้อนวอนเยอะเข้าสุดท้ายผู้ช่วยสาวก็ยอมใจอ่อน

หญิงสาวเดินไปที่อ่างล้างหน้าซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง เพื่อเอาน้ำใส่กาละมังใบเล็ก ขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มก็ได้ปลดสายผ้าที่ผูกเป็นปมตรงเสื้อที่สวมอยู่ออกทีละปม เผยให้เห็นแผงหน้าอกสีเหลืองนวลอยู่ภายใต้ชุดผู้ป่วย

จิตติมาหน้าแดงก่ำทันทีที่เดินมาเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนั้น หญิงสาวเขินอายอย่างเห็นได้ชัดพลางหมุนตัวกลับหลังหัน ยุทธส่งยิ่มให้เธออย่างเอ็นดูก่อนที่จะพูดขึ้น

“ ถ้าคุณหันหลังอย่างนั้นคุณจะเช็ดตัวให้ผมได้ยังไง ?? ”

ผู้ช่วยสาวจึงค่อยๆ เหลือบหันมาที่เขา แต่ใบหน้าที่แดงก่ำก็ยังคงแสดงออกถึงความเขินอาย เธอเดินไปหาเจ้านายหนุ่มแล้วเริ่มเช็ดตัว โดยเอาผ้าชุบกับน้ำก่อนที่จะบิดหมาดๆ จากนั้นจึงค่อยๆ ลูบไปตามแขนของเขาอย่างแผ่วเบา ตลอดจนบริเวณลำคอ หน้าอก และบริเวณหน้าท้อง ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย เช่นเดียวกับหญิงสาวที่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ

ยุทธไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของจิตติมาไว้ ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง หัวใจของเธอเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ และดูท่าจะเต้นถี่ขึ้น เรื่อยๆ

ชายหนุ่มเริ่มรุกหนักขึ้น โดยจับมือของเธอขึ้นมาแนบกับแก้มของเขาแล้วบรรจงจูบมัน

จิตติมารู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ครั้นเมื่อเธอตั้งสติได้จึงค่อยๆ ดึงมือออกจากเขา เพราะคิดว่าเป็นการไม่สมควร

“ คุณรังเกียจผมเหรอ ? ” ยุทธส่งสายตาที่แคลงใจปนเว้าวอน

“ ฉ...ฉันว่ามันไม่ค่อยเหมาะ... ” เธอสงวนท่าที

“ คุณคงคบกับใครอยู่...ผู้ชายคนนั้น ?? ” ชายหนุ่มลองเชิง

“ ไม่ใช่นะคะ!! คนที่คุณพูดถึง...เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทฉันเอง... ” จิตติมาแย้งขึ้น แต่ขณะที่หล่อนกำลังอธิบายถึงความสัมพันธ์ของเธอกับชายผู้นั้น เสียงของหญิงสาวกลับเริ่มแผ่วลงพร้อมกับหลบสายตาจากเจ้านายหนุ่ม เพราะนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาระหว่างเธอกับอัศนัย

ยุทธสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของหญิงสาว จึงร้องเรียกเธอเป็นการส่งสัญญาณเพื่อให้หันมา

“ ข...เขาแค่อาสามาส่งฉัน เพราะที่ทำงานของเขาอยู่แถวนั้น ” จิตติมาอธิบายต่อจนจบ

“ ถ้าอย่างนั้น คุณคงไม่รังเกียจใช่ไหมครับ...ที่จะเปิดรับใครสักคนเข้ามา ” ยุทธคว้ามือของเธอเข้าหาตัวอีกครั้ง

บัดนี้จิตติมาแน่ใจแล้วว่าเจ้านายหนุ่มคิดกับเธอเช่นไร หญิงสาวมองดูเขาอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ พร้อมกับตั้งคำถามสงสัยว่าตนได้ฝันไปหรือเปล่า ??...ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว หนำซ้ำภายในหัวก็ยิ่งครุ่นคิดหนักขึ้นกว่าเดิม

ยุทธมองดูเธอแล้วอมยิ้มเมื่อเห็นผู้ช่วยสาวทำท่าราวกับตื่นกลัว นัยน์ตาที่เรียวเล็กของเธอเบิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความรู้สึกประหลาดใจที่ซ่อนอยู่อย่างชัดเจน ตอนนี้เธอไม่ต่างอะไรกับลูกกวางน้อยที่งุนงงและตื่นกลัวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เขากลับมองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เรียกความตื่นเต้น และความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นภายในกาย

ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างดึงตัวหญิงสาวเข้ามาใกล้ๆ แล้วโอบเธอไว้จนใบหน้าของทั้งคู่แนบชิดติดกัน จิตติมาเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้ยุทธมองเห็นแววตาดวงนั้นได้อย่างชัดเจน เขาอมยิ้มอย่างพึงพอใจ จนมันกลายเป็นรอยยิ้มมุมปาก ซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่หญิงสาวรู้สึกหวั่นไหว


จิตติมาตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ว่านั้น ความตื่นเต้นระคนตกใจกลายเป็นความยินดี และก่อกำเนิดถึงความวาบหวามในทรวง

ยุทธไม่รอช้า เขาค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามา แล้วบรรจงจูบเข้ากับริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา หญิงสาวหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับความรู้สึกนั้น...เธอชอบมันและชอบที่จะให้เขาทำอย่างนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง จนกระทั่งศีรษะของเธอคล้อยต่ำลงไปพร้อมกับเขาที่ค่อยๆ นอนเอนกายลงไปบนเตียง

ความหนักหน่วงจากความรู้สึกของคนทั้งคู่ค่อยๆ ทวีขึ้น...ทวีขึ้น บัดนี้ภายในห้องพักผู้ป่วยกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นของความรัก ซึ่งยุทธเชื่อว่ามันเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นน้ำหอมของจิตติมาที่เขาสัมผัสได้จากที่แก้มและใต้ใบหูของเธอ เช่นเดียวกับผู้ช่วยสาวที่ได้ยินแต่เสียงหัวใจของเจ้านายหนุ่มยามที่เธอนอนซบอยู่บนแผงหน้าอกของเขา ซึ่งมันช่างดังกว่าเสียงใดๆ ที่มีอยู่ภายในห้อง แม้แต่กับเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย ที่มันกำลังเตือนว่ามีใครบางคนพยายามติดต่อมาหาเธอ...

+++++++++++++++++++++++++++++

ตะวันคล้อยต่ำลงมาเหยียบพื้นดินเมื่อถึงยามค่ำ เพื่อเปลี่ยนหน้าที่กับพระจันทร์ผู้ทำการบอกสัญญาณของค่ำคืนนี้

รถสีเงินขนาดใหญ่ราคาแปดหลักจอดเทียบท่าอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นของคฤหาสน์หลังงาม หญิงสาวผู้เป็นนักร้องดังเปิดประตูออกมาจากรถอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้สารถีวิ่งมาเปิดให้

แม้ว่าพระจันทร์ในค่ำคืนนี้จะงดงามและฉายแสงนวลตาสักเท่าไหร่ ก็ไม่ช่วยให้จิตใจของเธอสิ้นความหม่นหมองจากสิ่งที่ได้ทำลงไป ตามความประสงค์ของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดา

“ กลับมาแล้วเหรอลูก ? ” อมรวิสุทธิ์ทักทายสาริสา หลังจากที่เห็นเธอเดินทางกลับมาจากห้องอัดเสียง

“ ค่ะ... ” สาวน้อยตอบรับด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี

“ ป้าติ่งโทรฯ มาบอกพ่อเมื่อครู่นี้ว่า ลูกสาวของพ่อเสียงไพเราะมาก...ไพเราะกว่าต้นฉบับเสียอีก ” หนุ่มใหญ่เยินยอ

“ ถึงคุณพ่อชมหนูไป...หนูก็ไม่ดีใจหรอก ” สาริสาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ผู้เป็นพ่อก็พอจะรู้ได้ว่า เธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาสั่งให้ทำ

“ ซีรี...เพลงนี้เป็นเพลงที่พ่อแต่งนะ พ่อเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ พ่อมีสิทธิ์ที่จะให้ใครร้องก็ได้ ” อมรวิสุทธิ์อธิบาย

“ แต่คุณพ่อก็รู้ว่าเขาไม่ชอบหนู!! หนูพยายาม...พยายามที่จะอยู่ห่างจากเขา แต่คุณพ่อก็กลับดึงเขาเข้ามาอีก ” สาวน้อยเกินที่จะทน

“ ซีรี...โรสไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรลูกได้...ไม่มีทางเด็ดขาด!! ” หนุ่มใหญ่พูดปลอบลูกสาว

“ แล้วเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นตอนนั้นล่ะคะ ?? ที่เขาพยายามจะเอามีดมากรีดหน้าหนู...มันหมายความว่ายังไง ??!!! ” นักร้องสาวโวยวาย เธอรีบสะบัดหน้าหนีจากผู้เป็นพ่อ แล้ววิ่งขึ้นห้องไปเพื่อนอนร้องไห้

อมรวิสุทธิ์เห็นท่าไม่ดี จึงรีบเดินตามเธอไปที่ห้องเพื่อปลอบโยน

“ ซีรี...ลูกอย่าโกรธพ่อเลยนะ ที่พ่อทำไปก็เพราะอยากเห็นลูกร้องเพลงที่พ่อแต่งขึ้น ” เขาพยายามอธิบาย

“ หนู...หนูอยากกลับบ้าน ” หล่อนสะอึกสะอื้นอยู่บนที่นอน

“ ที่นี่ก็บ้านเรานี่ลูก ” อมรวิสุทธิ์กล่าว ถึงแม้เจะรู้ว่าสาริสาหมายถึงอะไร

“ หนูคิดถึงแม่ ” สาวน้อยร้องไห้หนักขึ้น น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างมากมายจนชุ่มหมอน

“ เราส่งตั๋วเครื่องบินให้แม่เขามาหาก็ได้นี่ ” หนุ่มใหญ่เกลี้ยกล่อม

“ ไม่ค่ะ...หนูจะกลับไปอยู่กับแม่ที่นู่น ” เธอปฏิเสธ

นักธุรกิจหนุ่มสะอึกเมื่อได้ยินดังนั้น เพราะเขาไม่อยากเสียลูกสาวไป หากวันหนึ่งสาริสาเดินทางกลับอเมริกา เธอก็คงจะไม่มีวันกลับมาหาเขาอีก ดังนั้นเศรษฐีใหญ่จึงเริ่มคิดหาวิธีการที่จะพยายามเหนี่ยวรั้งสาวน้อยไว้ แม้ว่าวิธีนั้นอาจจะดูเย็นชาและโหดร้ายไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยทำกับรสรินทร์

“ ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้ลูกพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเยี่ยมเจ้ายุทธกัน ” อมรวิสุทธิ์พูดจบก็ปิดประตูห้องของนักร้องสาวทิ้งท้าย เหลือไว้เพียงแต่เสียงร้องไห้ของสาวน้อยที่ก้องระงมอยู่ภายในห้องนั้น

+++++++++++++++++++++++++++++

♥ Special : ผู้ร่วมก่อการหัวใจ ♥

รูปภาพ:

อมรวิสุทธิ์ ธีรกำพล (คุณอมร)

"ผมจะทำให้คุณได้รู้ว่า เวลาที่ผมใช้อำนาจบีบบังคับจริงๆ ขึ้นมา...มันเป็นยังไง"

นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของโรงแรมหรูใจกลางกรุง มีนิสัยเด็ดเดี่ยว และเด็ดขาด ชอบเอาชนะ และเอาแต่ใจ มักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรสรินทร์ ผู้เป็นอดีตคนรักเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็รักและเป็นห่วงลูกสาวอย่างซีรี และหลานชายอย่างยศเช่นกัน แต่นั่น...ก็นำมาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะอาจทำให้เขาต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไป