*~บทที่ 19~*

คำว่า

ความลับไม่มีในโลก

คำพูดนี้ยังคงใช้ได้จริงอยู่ทุกยุคทุกสมัย ถึงแม้ว่า ใครบางคนจะพยายามปกปิดมันอย่างไร สักวันหนึ่งก็ต้องมีใครอีกหลายๆ คนรับรู้ถึงสิ่งนั้นอยู่ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ชายหนุ่มอย่างโชติวุฒิเองก็เช่นกัน ที่บัดนี้ความลับของเขาไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว เมื่อนันทวดีภรรยาสาวทราบความจริงเข้าถึงเรื่องความสัมพันธ์ลับๆ ของเขากับหญิงอื่น เธอจึงนั่งรถแท็กซี่สีชมพูเพื่อสะกดรอยตามสามีของเธอไปอย่างระแวดระวังโดยไม่ให้เขารู้ หญิงสาวเลือกใช้บริการรถสาธารณะเพื่อไม่ให้เขาสงสัย หรือเกิดความสะดุดตา

“ ขับตามรถสีดำคันนั้นไปเลยนะคะ...อย่าให้คลาดกันล่ะ ” เธอบอกคนขับรถ พลางจัดระเบียบลูกน้อยที่นั่งอยู่บนตัก

“ ครับผม ” คนขับรับคำ แล้วขับตามรถของโชติวุฒิไป

รถของชายหนุ่มขับมาถึงหอพักของนักศึกษาสาว แล้วหักเลี้ยวเพื่อเข้าไปจอดอย่างคุ้นเคย ทว่ากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจสำหรับนันทวดี เธอภาวนาว่า ขออย่าให้สิ่งที่เธอคิดเกิดขึ้นจริงกับเธอ

หญิงสาวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นจนแทบจะหลุดออกมา

โชติวุฒิจอดรถ โดยมีนันทวดีแอบซุ่มสังเกตการณ์จากในรถอยู่ด้านนอก

ความถี่อัตราการเต้นของหัวใจเธอเริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อเห็นว่า สามีของเธอกำลังก้าวเท้าออกมาจากรถ

“ คุณโชติ... ” วาดลัดดาร้องเรียกเขา พลางก้าวออกมาจากอาคารหอพัก เผยให้นันทวดีเห็นสาวนักศึกษาคนนี้อย่างถนัดตา

หญิงสาวโอบกอดชายหนุ่มอย่างคุ้นเคยด้วยความสนิทเสน่หา พลางชี้ชวนให้เขาเดินขึ้นไปบนห้องด้วยกัน

นันทวดีเสียใจมาก บัดนี้เธอรู้แล้วว่า สามีของเธอกำลังทำการทรยศความรักที่เธอมอบให้ด้วยการนอกใจ

หญิงสาวเปิดประตูรถโพล่งออกไปเตรียมตัวจะมีเรื่อง ทว่าลูกน้อยของเธอที่นั่งมาด้วยกันกลับร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ เพราะกลัวว่า แม่จะทิ้งเขาไป

หญิงสาวหันกลับไปมองก่อนที่จะช้อนตัวหนูน้อยขึ้นมากอดกับอก แล้วร้องไห้ไปด้วยกัน

เธอเหลือบมองดูที่หน้าอาคารหอพักตรงนั้น แต่ก็ไม่เห็นคนทั้งคู่แล้ว

เธอร้องไห้หนักขึ้นสลับกับปลอบลูกน้อยให้นิ่งลง

คนขับรถเห็นเธออยู่ในสภาพนั้นก็ไม่วายที่จะน้ำตาซึม เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเพื่อซับน้ำตาบ้าง

นันทวดีก้าวเท้ากลับเข้ามาในรถอีกครั้ง แล้วนั่งลง พลางพูดกับตนเองซ้ำไปมาว่าเธอทำไม่ได้เธอจะปล่อยให้ครอบครัวต้องพังพินาศ เพียงเพราะอารมณ์โกรธของเธอนั้น...เธอทำไม่ได้

หญิงสาวบอกให้คนขับรถพาเธอออกไปจากหน้าหอพักนั่น โดยที่เธอไม่หันกลับมามองมันอีกเลย…

++++++++++++++++++++++++++++++

ทางด้านวาดลัดดา หญิงสาวดีใจที่คนรักของเธอมาหาที่หอพัก หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว เธอกอดแขนชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น ขณะที่เดินขึ้นบันไดไปยังห้อง

“ วาดคิดถึงคุณมากเลยค่ะรู้ไหม...นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะลูก คุณก็คงจะไม่มา... ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเง้างอน

ชายหนุ่มมองดูเธออย่างเอือมระอา พลางคิดในในว่า เขาไม่น่าปล่อยให้เธอตั้งท้องเลย

“ คุณแน่ใจใช่ไหมครับว่า คุณท้อง ?? ” เขาถามซ้ำ

“ ค่ะ...ทำไมหรือคะ ?? ” เธอยืนยัน พลางถามเขากลับ

“ ผมแค่ถามดูเพื่อความแน่ใจน่ะครับ ” เขาบอก

“ ก็...ประจำเดือนวาดไม่มาได้สักพักแล้วละค่ะ อีกอย่าง...เมื่อวานวาดก็ใช้ที่ตรวจครรภ์เช็กด้วย ” เธออธิบาย

ชายหนุ่มมองดูเธอ แววตาของเขาไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ แต่สาวน้อยกลับรู้สึกได้ถึงอาการเสียวสันหลังขึ้นมาวาบใหญ่ ราวกับมีลมเย็นๆ พัดมาต้องสัมผัสกับแผ่นหลัง

“ ผมคงให้เขาเกิดมาไม่ได้ ” ชายหนุ่มเบือนหน้า แล้วกล่าวขึ้นในที่สุด

“ อ...อะไรนะคะ ?? ” หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจ เธอแทบไม่เชื่อหูตนเอง พลางถามเขาอีกครั้ง

“ คุณก็ได้ยินชัดแล้วนี่ครับ...ผมคงให้เขาเกิดมาไม่ได้!! ” เขาย้ำ ก่อนจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ดุดัน

“ คุณโชติ...ทำไมคุณถึงพูดอย่างนี้ล่ะคะ...ทำไมคุณถึงไม่รับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ ?!!! ” วาดลัดดาเริ่มโวยวาย เธอชูกำปั้นขึ้นมา แล้วทุบตีเขา

“ วาด...หยุด...พอได้แล้ว!!! คุณต้องเอาเขาออก ผมจะปล่อยให้เขาเกิดมาไม่ได้!!! ” ชายหนุ่มเสียงแข็ง

“ คุณโชติ!! นี่เขาเป็นลูกคุณนะ!! ” เธอโวยวาย แล้วร้องไห้

“ ผมรู้!! ผมเองก็มีลูกแล้วเหมือนกัน ” เขาพูดออกมา

คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกใจหาย มือไม้ และแข้งขาของเธออ่อนยวบลงในทันใด เขามีลูก...มีครอบครัวแล้วอย่างนั้นเหรอ ?!!

วาดลัดดาทรุดลงไปนั่งกับพื้น เธอร้องไห้ และพร่ำบ่นออกมาอย่างไม่เป็นภาษาด้วยน้ำเสียงที่สั่นระรัว

ชายหนุ่มมองดูเธอที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง พลางเอามือเอื้อมจับเธอเพื่อให้ลุกขึ้น

“ อย่ามาจับตัวฉัน!!! ” สาวน้อยตะโกนสุดเสียง

“ แก...ไอ้บ้า!!! ไอ้ชั่ว!!! แก...แกหลอกฉัน!!! ” เธอด่าเขา พลางทุบตีเข้าที่ขาของโชติวุฒิ

“ วาดพอได้แล้ว!! ทีนี้คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่า คุณจะปล่อยเขาเอาไว้ไม่ได้!! ” เขาพูดพลางจับข้อมือเธอเอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอทำร้ายเขา

“ ไปกับผม...คุณต้องเอาเขาออก ” ชายหนุ่มพูด แล้วดึงวาดลัดดาให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะลากเธอลงบันไดไปกับเขา

หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงเมื่อได้ยินดังนั้น เธอร้องลั่น และกรีดร้องหนักขึ้น เสียงของเธอดังก้องไปทั่วบริเวณอาคารหอพัก

ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างเปิดประตูออกมาดูต้นเสียงนั้น แล้วเขาก็พบเห็นสาวน้อยนักศึกษากำลังถูกชายหนุ่มลากให้ลงไปด้านล่าง ท่าทางของเธอเหมือนไม่เต็มใจที่จะไปกับเขา

“ ช่วยด้วยค่ะ!!! ช่วยด้วย ” เธอร้องขอความช่วยเหลือจากคนในหอพัก

“ วาด...หยุดน่ะ หยุดร้องได้แล้ว!! ” โชติวุฒิตะโกนสั่งเธอ พลางมองคนในหอที่กำลังมุงดูเขา

ชายหนุ่มรู้สึกอาย จึงพยายามดึงเธอให้ไปจากตรงนั้นโดยเร็ว

คนในหอพักต่างมองหน้ากันอย่างลังเล เพราะไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง

“ ช่วยด้วยค่ะ!!!...เขาจะพาฉันไปทำแท้ง....เขาจะเอาลูกในท้องฉันออก!! ” หญิงสาวตะโกน น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม

โชติวุฒิรีบเอามือปิดปากเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอพูดมากไปกว่านี้

“ เฮ้ย!! นี่มันจะมากไปแล้วนะ ” ชายหนุ่มที่อยู่ห้องติดกับบันไดพูดขึ้น

“ ใจคอมันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!! ” หญิงสาวห้องตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง

“ แจ้งความเลยดีกว่าไหม ?!!!...นี่มันเข้าข่ายบังคับขืนใจแล้วนี่!! ” กลุ่มนักศึกษาสาวอีกห้องหนึ่งพูดชี้ชวน

จากนั้นคนที่อาศัยอยู่ในหอพักก็เริ่มด่าทอในการกระทำของโชติวุฒิ

แต่ชายหนุ่มยังคงไม่สนใจ เขาจึงรีบลากวาดลัดดาไปให้พ้นจากตรงนั้น หญิงสาวจึงกรีดร้องหนักขึ้น

“ วาด!!! ” คณิตรีบวิ่งขึ้นบันไดมาหาเธอ จึงทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

โชติวุฒิมองหน้าเขา เขาเองก็เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างประชันหน้ากัน และดูท่าทีของทั้งคู่

“ นั่น...คุณจะพาวาดไปไหน ? ” คณิตร้องถาม

“ มึงอย่ามาเสือก...นี่มันเรื่องของผัวเมีย!!! ” โชติวุฒิขึ้นเสียงด้วยถ้อยคำหยาบคาย

คณิตได้ยินดังนั้นแล้วรู้สึกเลือดขึ้นหน้า เขาเดินเข้าหาโชติวุฒิเตรียมพร้อมที่จะมีเรื่องโดยทันที หนุ่มน้อยผลักโชติวุฒิให้ถอยออกไป โชติวุฒิกระเด็นพลางปล่อยมือออกจากวาดลัดดา ชายหนุ่มรู้สึกเสียท่าจึงเดินเข้ามา แล้วต่อยเข้าที่หน้าของคณิตอย่างแรง คณิตหน้าหงายเกือบตกบันได โชคดีที่เขาจับราวบันไดไว้ได้ทัน เขาพุ่งทะยานใส่โชติวุฒิ ทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้น

คณิตนั่งขึ้นคร่อมเขา แล้วใส่หมัดไม่ยั้ง โชติวุฒิพลิกตัวทำให้คณิตเสียหลัก หนุ่มใหญ่จึงได้ทีบีบขอเขาเป็นการเอาคืน

วาดลัดดาถอยออกมาจากตรงนั้น เธอนั่งตัวลีบหลังติดกับข้างฝา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนอื่นๆ ในหอพักที่ตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนทั้งคู่กำลังตะลุมบอน

ทางด้านชายหนุ่มคนอื่นๆ ในหอพัก ต่างก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามคนทั้งคู่ไม่ให้ฟาดฟันกัน แล้วเจ็บตัวไปมากกว่านี้

ทั้งคู่ถูกจับยืนขึ้น แล้วแยกตัวออกมาให้อยู่กันคนละมุม

คณิตหน้าตาเขียวช้ำ เลือดกลบปาก ชุดนักศึกษาของเขาหลุดรุ่ย และเลอะเทอะไปด้วยรอยเปื้อนสีน้ำตาลจากการนอนคลุกกับพื้นอาคาร

โชติวุฒิเองก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน หน้าตาของเขาเขียวช้ำ คิ้วของเขาแตก เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไม่เหลือมาดของนักธุรกิจ

ทั้งคู่ต่างจ้องตากัน และเตรียมตัวที่จะประจัญหน้ากันได้ทุกเมื่อ

โชติวุฒิมองดูผู้คนที่รายล้อมรอบตัวเขาอยู่ด้านนอก เขารู้สึกได้ทันทีว่า คนพวกนี้พร้อมที่จะรุมประชาทัณฑ์เขาได้เช่นกัน หากเขาเกิดทำอะไรลงไป

ชายหนุ่มมองหน้าคณิตอย่างเคียดแค้น แล้วหันมามองที่วาดลัดดา ราวกับจะบอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้ เขาและเธอขาดกัน

“ จะเก็บมันไว้ก็เชิญ... ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สายตาจ้องมาที่หญิงสาวอย่างเย็นชา และอำมหิต เธอไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้ของเขา แววตาเหมือนกับเหยี่ยวที่จ้องจะจับเหยื่อ โดยการบีบให้ตายคาอุ้งเล็บในมือก่อนที่จะจิกกิน

โชติวุฒิผละจากเธอ แล้วลงบันไดไป ปล่อยให้สาวน้อยมองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ระคนเสียใจ เธอร้องไห้ออกมา เมื่อรับรู้แล้วว่า บัดนี้เขาได้จากเธอไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ เธอฟูมฟาย แล้วร้องไห้หนักขึ้น พลางเอามือกุมท้องไว้ คณิตรีบทรุดนั่งลงข้างๆ พลางประคองเธอขึ้นมา แล้วไปส่งที่ห้อง

ชายหนุ่มถามถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะเขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากหอพักของเธอ เขาจึงรีบมาดูจนกระทั่งเห็นเหตุการณ์ วาดลัดดาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คณิตฟัง ตั้งแต่เรื่องที่เธอทราบว่า เธอตั้งครรภ์ แม้กระทั่งเรื่องที่โชติวุฒิมีครอบครัวแล้ว ตลอดจนเธอเกือบจะโดนพาเขาไปทำแท้ง

คณิตทำใจไว้แล้วในเรื่องที่เพื่อนรักคนนี้ตั้งท้อง แต่เขากลับทนไม่ได้ที่เห็นเธอถูกหลอกให้มาเป็นเมียน้อยของผู้ชายใจสัตว์โดยไม่รู้ตัว เขาพยายามข่มใจ และปลอบประโลมเธอไม่ให้คิดมาก ใจของเขาคิดอยากจะแก้แค้น บางทีอาจจะถึงกับอยากฆ่าโชติวุฒิให้ตาย เพื่อจะได้สาสมกับสิ่งที่เขาทำ ชายหนุ่มสัญญาว่า เขาจะช่วยเธออธิบายเรื่องนี้ให้พี่สาว และแม่ของเธอฟัง แต่ตอนนี้เขาอยากให้เธอได้พักผ่อน เพราะเธอยังคงช็อก และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วาดลัดดายังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น เธอร้องจนรู้สึกได้ว่า น้ำตาของเธอไม่ไหลออกมาแล้ว แต่เสียงสะอื้นฟูมฟายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ หญิงสาวร้องไห้อยู่นานจนหมดแรง ก่อนที่จะเผลอผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า…

++++++++++++++++++++++++++++++

แม้ว่า วันนี้อาจจะเป็นวันที่ทำให้ชีวิตของใครหลายๆ คนดูย่ำแย่ และหมดสิ้นหนทางในการหาทางออกของปัญหา มันอาจจะเป็นวันแห่งการสูญเสีย วันแห่งการทรยศหักหลัง หรือแม้แต่วันแห่งความผิดหวัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เรื่องร้ายๆ จะจบสิ้นลงไปเพียงแค่ในช่วงเย็นของวันนี้เท่านั้น เพราะจากนี้ไปเรื่องเลวร้ายเรื่องใหม่กำลังจะเกิดขึ้นมา หลังจากที่เสียงตัวโน้ตตัวสุดท้ายของบทเพลงในดวงมานบรรเลงจบลง

ภายในงานเลี้ยงเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของสาริสาต่างคลาคล่ำไปด้วยเหล่าศิลปินดารา นักข่าว สื่อมวลชน ตลอดจนแขกเหรื่อ และเพื่อนๆ นักธุรกิจของอมรวิสุทธิ์ ราวกับว่า บุคคลเป็นร้อยที่มาร่วมงานในวันนี้ ต่างไม่ได้มีจุดประสงค์มาร่วมยินดีการเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของเธอเพียงอย่างเดียวแน่นอน

ท่ามกลางมหาชนมากมาย ทั้งคนดัง และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังนับร้อยชีวิต นักร้องสาวกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เธอแทบจะไม่รู้จักใครในนั้นเลย แม้แต่กับป้าติ่ง ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ หญิงสาวรับรู้ได้ว่า เขาคือ คนแปลกหน้าสำหรับเธอไปแล้วในวันนี้ แม้กระทั่งอมรวิสุทธิ์ผู้เป็นบิดา เพราะเขาเพียงคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า เธออยากออกไปจากงานเลี้ยงบ้าๆ นี่ให้เร็วที่สุด ถึงแม้จะมียุทธคอยชวนเธอคุยอยู่บ้างหลังจากที่เธอเดินลงเวทีมา ทว่าหญิงสาวกลับไม่เห็นเงาแม่ผู้ช่วยสาวคนรักของเขาเลย

“ สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะซีรี ” ยุทธกล่าวขึ้น เพื่อหาเรื่องคุย

“ พี่ยุทธก็ทราบนี่คะว่า เพราะอะไร ? ” สาวน้อยพูด พลางมองดูพ่อของตนเองที่กำลังทักทายแขกเหรื่อ

“ งานนี้คงมีแต่คุณลุงล่ะมั้งที่มีความสุข ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะฉีกยิ้มออกมา แม้จะรู้สึกไม่สนิทใจ

“ แฟนของพี่...เขาไม่ได้มาด้วยเหรอคะ ? ” สาวน้อยถาม

ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้า ก่อนที่จะส่ายหัวเล็กน้อย

หญิงสาวถอนหายใจ พลางเดินออกมาจากตรงนั้น แล้วหยิบแก้วไวน์จากถาดของบริกรที่ถือเดินไปมา เพื่อที่จะดื่ม

“ เมื่อไหร่งานจะเลิกเนี่ย ?!! ” เธอบ่นพึมพำกับตนเอง พลางกระดกไวน์อึกใหญ่

“ ช้าๆ ก็ได้ซีรี!! เดี๋ยวพวกนักข่าวก็ถ่ายภาพไปลงหนังสือหรอก!! ” ยุทธเดินเข้ามาปราม

เธอมองเขา แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ

“ ชีวิตของหนูเคยกำหนดอะไรเองได้บ้างไหมคะ ? ” เธอถามประชดประชัน

“ ซีรี...ไม่เอาน่า ” ยุทธพูดเพื่อให้เธอคลายความขุ่นข้อง

“ ในเมื่อมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ต้องคิด และตัดสินใจเองได้แล้วละค่ะว่า เราจะทำอย่างไร เราจะยอมให้เขามาบังคับเราได้อีกไหม...ถ้าพี่ยุทธคิดไม่ได้ก็เชิญใช้ชีวิตดำเนินตามรอยคุณลุงของพี่ต่อไปเถอะค่ะ!! ” หญิงสาวกล่าวกัดจิกเขาทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้น

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่จิตติมาปรากฏกายขึ้นในงาน แขกเหรื่อมากหน้าหลายตาต่างเดินพล่านกันวุ่นวายในห้องรับรองของโรงแรม หญิงสาวสอดส่ายสายตาหายุทธ หรือไม่ก็สาริสา แต่ทว่าไม่พบ เธอเดินฝ่าเข้าไปในฝูงชน เพื่อตามหาคนทั้งคู่อย่างไม่ลดละ เธอภาวนาว่า ขอให้เธอได้เจอกับยุทธโดยเร็ว เพื่อที่เธอ และเขาจะได้ปรับความเข้าใจ และคืนดีกัน

ทันใดนั้น หญิงสาวก็เหลือบมองเห็นยุทธที่ขณะนั้นยืนอยู่ข้างเวที เธอเดินตรงเข้าไปหาเขา แต่ทว่าแสงไฟภายในห้องกลับดับลงอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ สว่างขึ้นด้วยแสงจากโคมไฟระย้าบนเพดาน

เสียงช้อนกระทบแก้วไวน์ดังขึ้นสองครั้ง เพื่อเชิญชวนให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเบนความสนใจไปที่เวที อมรวิสุทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น บัดนี้เขากำลังจะกล่าวสวัสดี และขอบคุณแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานอย่างเป็นทางการ

“ ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ถ้าไม่มีพวกคุณก็คงไม่มีนักร้องสาวอย่างซีรี...หรือลูกสาวของผมเกิดขึ้นมาประดับวงการ ผมเห็นพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงของเด็กสาวคนนี้มาตั้งแต่อายุสิบขวบ และผมก็อยากจะปลูกฝังแกให้มีใจรักทางด้านเสียงเพลงให้มากขึ้น... ” แสงไฟจากสปอตไลต์ส่องมาที่เศรษฐีใหญ่ซึ่งกำลังกล่าวนำอยู่บนเวที ขณะที่เขากำลังยกยอสื่อมวลชน และอวดอวยลูกสาวตนเอง

สาริสารู้สึกได้ถึงอย่างนั้น พ่อของเธออวดอวยเธอเกินไปจริงๆ จนบางทีเธอก็รูสึกหมั่นไส้ตนเอง เพราะความเป็นจริงนักร้องสาวไม่ได้ชื่นชอบการร้องเพลงเลยแม้แต่น้อย เธอถูกบังคับให้เรียนร้องเพลงตั้งแต่อายุแปดขวบโดยพ่อของเธอเอง เพื่อแลกกับการได้เงินเรียนว่ายน้ำ และเข้าคอร์สเรียนเต้นบัลเลต์ตอนเกรดสี่

จิตติมามองดูอมรวิสุทธิ์ที่กำลังยืนพูดอยู่บนเวที พลางมองหายุทธ แต่ทว่าครั้งนี้กลับไม่พบ

“ ...อย่างที่หลายท่านทราบกันดี โรงแรมของผมได้สร้างนักร้องที่มีคุณภาพมาหลายต่อหลายคน จากจุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องประกวด สู่การเป็นนักร้องอาชีพกับวงดนตรีในโรงแรม และกลายมาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง... ” อมรวิสุทธิ์กล่าวต่อ

นักร้องสาวย้อนนึกถึงรสรินทร์คู่ปรับของเธอ พลางคิดได้ว่า จุดเริ่มต้นของเธอเองก็คงเริ่มมาจากตรงนี้

“ ...และบัดนี้ลูกสาวของผม ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของความภาคภูมิใจ ที่เธอได้สืบทอดเจตนารมณ์ของตระกูลไว้ ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับเธอหน่อยครับ ” เศรษฐีใหญ่พูดพลางปรบมือนำ จากนั้นแขกเหรื่อคนอื่นๆ ก็พากันปรบมือตาม แม้แต่จิตติมาเองก็ด้วย

แสงไฟสีขาวดวงใหญ่จากสปอตไลต์สาดส่องเข้ามาที่สาริสา สาวน้อยยืนตระหง่านอยู่กลางฝูงชน เธอหันมาฉีกยิ้ม และกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ตามบทที่ถูกเขียนไว้ร่วมกันระหว่างผู้จัดการส่วนตัว และพ่อของเธอ หญิงสาวก้าวเดินขึ้นไปบนยังเวทีนั้น แสงไฟยังคงสาดส่องตามเธอไป ยิ่งเวลาที่แสงนั้นสาดกระทบกับชายผ้าสีครามที่ตัดเย็บจากผ้าไหม ก็ยิ่งทำให้ผ้าของเธอดูเป็นประกายระยิบระยับ และสะท้อนสู้กับแสง

สาริสาหันหน้ายืนแสดงตัวต่อหน้าสื่อมวลชนอยู่ข้างบนเวที เสียงกดชัตเตอร์จากด้านล่างดังต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เธอฉีกยิ้มให้กับกล้อง พลางชูแผ่นอัลบั้มเพลงของเธอขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาได้ถ่ายภาพ อมรวิสุทธิ์เห็นดังนั้น ก็ไม่ปล่อยให้แผนการที่เขาได้วางไว้คลาดเสียไปโดยใช่ที่ เขาจึงรีบพูดแทรกขึ้นมา เพื่อดึงความสนใจของทุกคน

“ และตอนนี้...ผมก็มีเรื่องยินดีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องการจะประกาศ ” หนุ่มใหญ่กล่าวขึ้น และก็เป็นไปตามคาด ทุกคนหยุดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อฟังเขา

“ ในฐานะที่ผมเป็นพ่อ และลุง ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ในเร็วๆ นี้กำลังจะมีข่าวดีเกิดขึ้นตามมา ” อมรวิสุทธิ์พูดประโยคนี้ขึ้นเพื่อให้แขกทุกคนได้ติดตาม เขามองไปที่สาริสา และยุทธซึ่งบัดนี้ได้ขึ้นมายืนอยู่บนเวทีด้วยกันแล้ว

จิตติมามองดูยุทธ พลางแสดงตนเพื่อให้เขาเห็น แต่ทว่าสายตาของเขากลับไม่ได้จ้องมองมาทางฝูงชนเลย

“ ผมเองก็มีหลานชาย และลูกสาวอยู่เพียงอย่างละคน ความหวังของผมก็อยากเห็นลูกหลานของตนเองมีความสุขในทุกๆ ด้าน และผมเองก็แก่ตัวลงทุกวันๆ กิจการโรงแรมของผมก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีผู้สืบทอด และผมก็เห็นแล้วว่า ผู้ที่สามารถสืบทอดกิจการของผมได้นั่นก็คือ...ยุทธ หลานชายของผมเอง ” หนุ่มใหญ่พูดพลางผายมือไปทางเขา

ชายหนุ่มค่อยๆ เดินมาหาเขาอย่างระมัดระวัง เพราะอาการที่ยังบาดเจ็บจากทางแผ่นหลังอยู่

จิตติมามองดูเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง นี่คงเป็นเพราะวันนี้เธองอนเขามากไป เลยไม่ได้สังเกตว่า เขาทำอะไรได้ไม่ค่อยถนัด

หัวใจของยุทธเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น สาริสาเองก็เช่นกัน คนทั้งคู่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

สาวน้อยภาวนาให้ญาติหนุ่มของเขากล่าวปฏิเสธการหมั้นสำเร็จตามที่ได้นัดหมายกันไว้

อมรวิสุทธิ์โอบกอดหลานชายด้วยความยินดี จากนั้นจึงพูดเพื่อกล่าวเปิดเรื่องข่าวดีของยุทธเช่นกัน

“ ผมว่า ผมคงต้องส่งต่อไมค์ฯ นี้ให้แก่หลานชายของผมเสียหน่อยแล้ว ดูเหมือนว่า เขาคงอยากจะบอกข่าวดีของเขาให้ทุกๆ ท่านได้ฟังเช่นกัน ” เศรษฐีใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น พลางยื่นไมโครโฟนแก่ยุทธ

ชายหนุ่มรับมา แล้วประหม่าเล็กน้อย เขามองตรงไปยังแขกเหรื่อ และสื่อมวลชนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้า

จิตติมาใช้โอกาสนี้เพื่อจะแสดงตัว แต่ทว่ากลับถูกบดบังด้วยกลุ่มพวกนักข่าว

“ สวัสดีครับ...ทุกท่าน ผมยุทธ...หลานชายคุณลุงอมร... ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีขวยเขิน และตื่นเวที

สาริสามองยุทธด้วยความรู้สึกที่คาดหวัง เธอคอยฟังคำพูดของเขาด้วยความตื่นเต้น

“ ...ก่อนอื่นเลยผมต้องแสดงความยินดีในความสำเร็จของน้องสาวของผมคนนี้ด้วยนะครับ ที่เสียงของเธอได้สร้างสรรค์ผลงาน และทำให้โลกใบนี้มีความน่าอยู่เพิ่มขึ้น... ” แขกเหรื่อต่างปรบมือในถ้อยคำของเขาที่กล่าวชื่นชมญาติสาว

สาริสามองหน้ายุทธ เธอฉีกยิ้มให้เขาเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ

“ ...ผมมีความยินดีที่จะบอกแก่ทุกๆ ท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดกิจการของโรงแรมนี้ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคาดคิด และคาดหวังอะไรกับทรัพย์สมบัติ และทรัพย์สินที่มีค่าเหล่านี้เลย... ” ชายหนุ่มพูดยืนยันกับทุกๆ คนที่มาร่วมงาน

นักร้องสาวใจชื้นเล็กน้อยที่ยุทธกำลังดำเนินไปตามแผน

จิตติมาเองก็เช่นกันเธอเริ่มรู้สึกได้ว่า บรรยากาศรอบๆ ตัวเริ่มดีขึ้น

“ ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด อะไรก็ไม่มีค่าสำหรับผมอีกแล้วในตอนนี้ เพราะอย่างนี้เองผมถึงได้ขึ้นมายืนอยู่บนเวที เพื่อที่จะบอกบางสิ่งบางอย่างให้แก่คุณลุง และแขกเหรื่อทุกๆ ท่านได้รับฟัง... ” เขากลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนที่จะพูดประโยคต่อไป

อมรวิสุทธิ์มองหน้ายุทธอย่างแปลกใจ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะกลัวว่า หลานชายของตนจะทำให้แผนการทุกๆ อย่างที่เขาวางไว้พัง

ยุทธมองหน้าเศรษฐีใหญ่ เขาอมยิ้มให้เล็กน้อย นัยน์ตาของเขาบ่งบอกถึงความซึ้งใจถึงช่วงชีวิตในอดีตที่ผ่านๆ มา อย่างอาลัยอาวรณ์

“ ...ผมกำลังจะเข้าพิธีหมั้น...กับซีรีครับ ” ชายหนุ่มพูดคำนั้นออกมา ท่ามกลางเสียงฮือฮาของสื่อมวลชน และผู้ที่มาร่วมงาน

สาวน้อยตกใจในสิ่งที่เขาพูด เธอแทบจะล้มทั้งยืน พลางมองดูยุทธอย่างไม่คาดคิดว่า เขาจะทำแบบนี้กับเธอได้

อมรวิสุทธิ์มองหลานชายอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะเดินออกไปโอบไหล่เขาอย่างยินดี หนุ่มใหญ่ชูแก้วบรั่นดีขึ้นสูงพลางโห่ร้องอย่างมีชัย

ยุทธมองหน้าคุณลุงของเขา แล้วพยายามอมยิ้มให้ จากนั้นจึงเหลือบมองสาริสาด้วยสายตาที่หวังจะให้เธอยกโทษ แต่สาวน้อยกลับมองเขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง และไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ยุทธนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่เขาอยู่บนรถกำลังเดินทางมางานเลี้ยงที่โรงแรมแห่งนี้ อมรวิสุทธิ์โทรฯ เข้ามาหาเขา พลางถามเขาถึงเรื่องที่สาริสาไปหาเขาที่บริษัทเมื่อตอนกลางวัน

“ ฉันรู้นะว่า แกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่...ยุทธแกจะขัดคำสั่งฉันเหรอ ? ” เศรษฐีหนุ่มร้องถาม

“ ผม...ผมแต่งงานกับซีรีไม่ได้หรอกครับคุณลุง เราเป็นญาติกัน และอีกอย่างผมก็ไม่ได้รักเธอ ” เขาว่า

“ ฉันรู้ว่า แกไม่ได้รัก...แต่อย่างน้อยแกก็น่าจะรักฉัน ที่ฉันเป็นคนเลี้ยงดูแกมา ” เขาทวงบุญคุณ

“ เรื่องนั้นผมทราบดีครับคุณลุง แต่ว่า... ” ชายหนุ่มปฏิเสธ

“ ยุทธ...แกไม่สงสารแม่แกเหรอ ?? ที่ตรอมใจตายเพราะรักคนผิดอย่างพ่อของแก ตาของแกหมายหมั้นปั้นมือให้แม่ของแกแต่งงานกับคนดีๆ อย่างเจ้าสัวเฮง แต่แม่ของแกก็ไปคว้าเอานายทหารชั้นจ่าอย่างพ่อของแกมาเป็นผัว จนแม่แกคลอดแกออกมา แต่ก็ใช่ว่า จะหยุดสันดานเจ้าชู้ของพ่อแกได้ แล้วสุดท้ายล่ะเป็นยังไง ?!! เป็นยังไง ?!!! ทุกวันนี้แกเคยได้เห็นหน้าพ่อของแกอีกมั้ย ?!...ไม่เลย!! ” อมรวิสุทธิ์ขึ้นเสียง

ยุทธน้ำตาซึม เขากำลังจะร้องไห้เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายหนุ่มสงสารแม่ที่ต้องทนอยู่กับพ่อที่ไม่เคยมาสนใจดูดำดูดีครอบครัวเลย

“ แกเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ฉันหวังดีกับแกขนาดไหน แกคือ หลานคนเดียวของฉัน ฉันรักแกเหมือนลูก ฉะนั้นวิธีการเดียวที่แกจะมาเป็นลูกของฉันได้ก็คือ แกต้องแต่งงานกับซีรี ” อมรวิสุทธิ์โน้มน้าว

ยุทธถอนหายใจ เขาไม่ยินดีสักเท่าไหร่ในสิ่งที่ลุงของเขาหยิบยื่นให้

“ แล้วถ้าวันนี้...แกประกาศหมั้นกับซีรีตามที่ฉันขอ พรุ่งนี้ฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อปลดหนี้ธนาคารที่แกแอบฉันไปกู้เงินมาเปิดบริษัทโฆษณา...แกอย่าคิดนะว่า ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่!! ” อมรวิสุทธิ์ยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้แก่ยุทธ เพื่อให้เขาใช้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ

ชายหนุ่มนึกย้อนถึงจดหมายเตือนครั้งสุดท้ายจากบริษัททวงหนี้ที่จิตติมาเอามาให้เขาอ่าน

เขาหลับตา น้ำตาของเขาไหลอาบแก้ม

“ ได้ครับคุณลุง...ผมจะประกาศหมั้นกับซีรี... ” เขารับปากอมรวิสุทธิ์ทิ้งท้ายก่อนจะวางหูไป…

ชายหนุ่มก้มหน้าหลังจากหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น

“ ทำดีมากไอ้หลานชาย ” อมรวิสุทธิ์กระซิบใส่เขาข้างหู แล้วทำทีเป็นชูแก้วร่วมยินดีกับแขกเหรื่อ

ยุทธค่อยๆ ชูแก้วบ้างเช่นกัน สายตาของเขากวาดมองไปที่ฝูงชนที่มาร่วมแสดงความยินดีในงานนี้

ทำให้เขาได้เห็นจิตติมาที่ปรากฏกายขึ้นด้านหน้าเวที ท่ามกลางฝูงชนโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

ยุทธหน้าถอดสี เขาไม่คาดคิดว่า เธอจะตามเขามาด้วย

จิตติมาค่อยๆ ฉีกยิ้มให้เขาอย่างยินดี แม้สายตาของเธอจะดูเศร้า และหม่นหมอง บัดนี้เธอรู้ และทำใจได้แล้วว่า ทั้งเธอ และยุทธไม่สามารถที่จะเป็นคู่รัก คู่ครองของกันและกันได้

หญิงสาวหันหลังกลับ แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น พร้อมๆ กับที่รอยยิ้มของเธอกลับกลายเป็นรอยน้ำตาแห่งความเสียใจ...

++++++++++++++++++++++++++++++