บทที่ 6


“เชิญครับ”

เสียงทุ้มดังขึ้นต้อนรับคนสองคนที่ยืนรออยู่หน้ารั้วบ้าน เปิดเผยรอยยิ้มยินดียามเมื่อได้รับรู้ว่าใครมาเยี่ยมเยียนถึงที่บ้าน แม้ชญาภากับชเยศจะอยู่ใกล้บ้านกันก็เท่านี้ แต่ทุกครั้งที่มีคนเดินทางมาหาถึงบ้าน มนัสก็นับว่าคนเหล่านั้นอุตส่าห์มาหาและหอบความหวังดีมาให้ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่มีกลิ่นหอมๆ ลอยเตะจมูกในตอนที่ชญาภาเดินเข้ามาใกล้ๆ ตัว

มนัสสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดแล้วก็ให้คลี่ยิ้มมากยิ่งขึ้น ยืนรอตรงรั้วให้ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนเหยียบย่ำเข้ามาด้านในจึงค่อยปิดประตูลง หมุนตัวเดินเข้าบ้านด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับมองเห็นชัดเจน

“เพิ่งจะอบบัตเตอร์เค้กเสร็จ ก็เลยคิดว่าถ้ามากินที่นี่พร้อมกับดื่มกาแฟฝีมือนายก็คงจะดีน่ะ”

ชญาภาว่าอย่างนั้นตอนที่วางจานกระเบื้องทรงกลมลงบนโต๊ะรับประทานอาหาร หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีท่าทีติดขัดเลยแม้แต่น้อย เธอหันไปมองน้องชายที่ยืนนิ่งใกล้ๆ โต๊ะก็ให้ได้เลิกคิ้ว ดูท่าแล้วน้องชายของเธอคงจะสงสัยไม่น้อยว่าเมื่อครู่เอ่ยสิ่งใด เช่นนั้นแล้วชญาภาจึงตบโต๊ะไม่เบาไม่ดังสามที ก่อนจะเอ่ยเรียกให้ชเยศได้อ่านกลีบปาก

“นั่งลงซะสิ เดี๋ยวนัทจะได้ชงกาแฟให้ดื่ม”

“หา?”

เสียงของชเยศราวกับประหลาดใจเหลือล้น ถ้าเขาอ่านปากชญาภาไม่ผิด หมายความว่ามนัสจะเป็นคนชงกาแฟให้อย่างนั้นหรือ? ชายหนุ่มเหลียวมองไปทั่วบ้านที่ไม่คุ้นตาก็ไม่พบใคร พอเหลียวสายตากลับมามองพี่สาวอีกที ก็เห็นเธอส่ายศีรษะคล้ายเหนื่อยหน่ายที่จะเสวนาด้วย

ที่จริงก็อยากจะถามซ้ำเพื่อความแน่ใจอยู่หรอก หากไม่ติดว่าเขาหันไปเห็นเจ้าของบ้านที่เพิ่งตระเตรียมแก้วกาแฟเสร็จหันกลับมาหาแล้วยกยิ้มน้อยๆ

“เชิญนั่งครับคุณเชน เดี๋ยวผมจะโชว์ฝีมือการชงกาแฟของผมให้คุณได้ชิมเอง”

ชเยศห่อปากด้วยทั้งชื่นชมและงุนงง เขายังไม่เข้าใจว่าคนที่มีปัญหาทางดวงตาจะสามารถชงกาแฟด้วยตนเองได้อย่างไร ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งตรงข้ามกับชญาภา ส่งสายตาเป็นคำถามที่แสดงออกอย่างเด่นชัด และเช่นเคย เขาได้รับคำตอบกลับมาคือการยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น

“ฟ้าเอาแบบเดิมนะ? คุณเชนล่ะครับ ชอบดื่มแบบขมๆ หรือหวานหน่อย”

มนัสเอ่ยถามขณะที่หันหน้าเข้าสู่เคาน์เตอร์ทำครัวซึ่งจัดอย่างเป็นระเบียบ ให้ชญาภาได้ตอบกลับไปในทันทีอย่างไม่ต้องคิด ก่อนจะได้รีบหันมาหาชเยศและขยับปากไร้เสียงให้เขาได้จับใจความ แล้วตอบออกไปไม่ช้าไม่นานเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตมากนัก

“ขอแบบกลมกล่อมครับ”

“พี่น้องนี่ดื่มเหมือนกันเลยสินะ?”

ได้ยินอย่างนั้นก็ให้ชญาภาได้ระบายลมหายใจทั้งอมยิ้ม จะว่าไปก็จริงอย่างที่มนัสว่า เธอกับชเยศมีนิสัยที่คล้ายคลึงกันจนน่าตกใจ หากเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเหมือนกันก็คงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แม้จะมีบางส่วนที่ไม่ตรงกันก็เถอะ แต่ร้อยทั้งร้อย ถ้าได้ลองสวมรอยเป็นใครอีกคนแล้วล่ะก็...อาจจะมีคนมองไม่ออกก็ได้

“ไม่ต้องรีบนะนัท เดี๋ยวฉันตัดบัตเตอร์เค้กรอ”

เจ้าของบ้านส่งเสียงรับในลำคอ ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟแก้วแรกมาถือไว้กับมือ ในตอนนั้นเองที่ชเยศเริ่มสังเกตมุมที่มนัสยืนอยู่ ชายหนุ่มเห็นว่าตรงนั้นคือมุมของเครื่องดื่ม ซ้ายสุดจะเป็นชั้นวางแก้วที่คว่ำเรียง ถัดมาเป็นถาดขนาดยาวที่มีขวดโหลใส่ผงและวัตถุดิบต่างๆ จากนั้นจึงเป็นกาน้ำร้อนไฟฟ้าที่ดูเหมือนจะเสียบไฟติดไว้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อมองถัดไปอีกก็จะเป็นที่กดน้ำกรองขนาดพอดี

แน่นอนว่าทั้งหมดที่เรียงกันตั้งแต่ต้น ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และหากจะให้ชเยศสังเกตเพิ่มอีกเล็กน้อย เขาจึงได้รู้ว่าการจัดวางนั้นเป็นไปตามขั้นตอนที่จะต้องจัดการอย่างถูกต้อง

“หอมดีจังเลย~”

ชเยศคิดว่าตัวเขาเองใช้เวลาสำรวจเคาน์เตอร์ครัวฝั่งเครื่องดื่มได้ไม่นานเท่าไหร่ บางทีอาจจะไม่ถึงหนึ่งหรือสองนาที แต่พี่สาวของเขากลับขยับกลีบปากพลางทำทีเป็นสูดลมหายใจเข้าลึก แน่นอนว่าเขาก็ได้กลิ่นด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ จึงได้อุทานในลำคอด้วยความประหลาดใจ นั่นเพราะแก้วแรกวางอยู่ตรงหน้าเครื่องกรองน้ำ ควันสีขาวลอยขึ้นเหนือปากแก้ว ให้ได้รู้ว่าอุณหภูมิของของเหลวในนั้นร้อนมากเพียงใด

มนัสกำลังเริ่มชงกาแฟแก้วที่สอง

ไม่เกินอึดใจก็เริ่มชงแก้วที่สาม

หา? เดี๋ยวนะ?

“ลองดื่มดูนะครับ ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณเชนรึเปล่า”

คนที่ก่อนนี้ยืนหันหลังให้เขา ตอนนี้กลับหันมาพร้อมกับถาดที่มีแก้วกาแฟสามใบ นัยน์ตาคมกริบได้แต่มองมนัสสลับกับชญาภาที่กำลังช่วยยกแก้วออกจากถาดและย้ายมาวางลงตรงหน้าทั้งสามคน กลิ่นหอมจางเจือที่ลอยเตะจมูกเป็นคำตอบที่ชัดเจนอย่างมากสำหรับชเยศ แต่ที่เขาไม่เข้าใจนั่นก็คือ...ทำไมมนัสถึงชงกาแฟได้รวดเร็วขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นแท้ๆ

“เคยได้ยินไหมว่าความเคยชินจะทำให้ทุกอย่างรวดเร็วขึ้น”

ชญาภาอดสงสารน้องชายไม่ได้ เธอจึงว่าขึ้นอย่างนั้นให้ชเยศได้ประมวลผลสักครู่ก่อนพยักหน้ารับแล้วเอ่ยตอบ “ผมเข้าใจแล้วล่ะ แต่...ผมแค่ไม่คิดว่าคุณนัทจะทำได้รวดเร็วขนาดนี้”

“อย่าประมาทถ้ายังไม่รู้ลึกรู้จริง”

หญิงสาวเปรยขึ้นก่อนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ แม้เพียงเล็กน้อย หากกลิ่นของกาแฟและรสชาติที่กลมกล่อมติดลิ้นก็ทำให้เธอยกยิ้มอย่างพึงใจ กอปรกับมนัสที่ยังคงนิ่งเฉยคล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง จึงทำให้ชเยศยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นจิบบ้าง แม้จะยังร้อนจนแทบลวกลิ้น กระนั้นรสชาติที่แผ่ซ่านติดลิ้นก็ทำให้เขาส่งเสียงขึ้น

“กลมกล่อมอย่างที่ขอจริงๆ เลยนะครับ”

คราวนี้เองที่มนัสคลี่ยิ้มด้วยความยินดี ชายหนุ่มใช้สองมือโอบรอบแก้วของตัวเองเอาไว้ หากก็ไม่ได้ยกขึ้นดื่มเหมือนทั้งสองคน กระทั่งเสียงภาชนะกระทบกันนั่นเอง ที่ทำให้มนัสเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วเคลื่อนมือไปยังทางขวา แตะปลายนิ้วลงที่ขอบจานกระเบื้องใบเล็ก หยิบส้อมที่วางเคียงอยู่บนนั้นมาไว้กับมือ กะประมาณบัตเตอร์เค้กที่ชญาภาตัดแบ่งลงจานแล้วจึงค่อยตัดเป็นชิ้นพอดีคำด้วยส้อมเล็กนั่น

แม้จะไม่ได้ว่องไวมากนัก หากการกะประมาณของมนัสและท่าทีปกติยามเมื่อเคลื่อนส้อมส่งบัตเตอร์เค้กชิ้นพอดีเข้าปากนั่นก็ทำให้ชเยศเกิดความชื่นชมไม่น้อย

นี่สินะ...ที่เรียกว่าความเคยชิน

“อือ อร่อย”

มนัสว่าอย่างนั้นก่อนจะยกแก้วโกโก้ร้อนของตนขึ้นจิบ ใบหน้าเรียวมนฉายความสดใสที่ทำให้ชเยศต้องยิ้มตาม ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบความสุขเล็กๆ ของมนัสที่นอกเหนือจากการเดินเล่นรับลมเช้าเย็นแล้วล่ะนะ

“คุณนัทชอบดื่มกาแฟคู่ขนมเค้กหรือครับ?”

เจ้าของใบหน้าเรียวมนเอียงศีรษะน้อยๆ คล้ายครุ่นคิด นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยตอบกลับให้ชเยศได้เลิกคิ้วขึ้นสูง “ผมชอบชงกาแฟให้คนอื่นดื่มมากกว่าครับ”

ชญาภาก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เธอกลืนกาแฟรสชาติกลมกล่อมนุ่มลิ้นลงคอไปอีกสองอึกก่อนจะวางลงบนจานรอง หัวเราะเบาๆ ให้มนัสได้ยินก่อนจะเอ่ยขึ้นเพิ่มเติมให้น้องชายของเธอได้เข้าใจ

“นัทน่ะชอบชงกาแฟ เมื่อก่อนตอนที่เป็นผู้ช่วยให้ฉัน ก็ได้นัทนี่แหละที่ชงกาแฟให้ดื่มอยู่บ่อยๆ”

“เพราะถ้าไม่หาอะไรให้เธอดื่ม เธอก็จะหลับคาคอมต่างหากล่ะ”

ถ้อยความของมนัสคล้ายเหนื่อยหน่ายผิดกับใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มบางๆ เพราะอย่างนั้นเองที่ทำให้ชเยศขมวดคิ้วเป็นปมหลวมอย่างที่ไม่ทันได้รู้ตัว ชายหนุ่มหรี่เรียวตาเล็กน้อยเพื่อจับจ้องใบหน้าของพี่สาว หากชญาภาเองก็เพียงแค่ยักไหล่แล้วเอ่ยเย้าอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

“เชื่อเถอะว่าถ้านัทไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ดีไม่ดีฉันอาจจะขอนายแต่งงานก็ได้ ดูแลรู้ใจกันดีขนาดนี้”

ชเยศที่เกือบจะกลืนกาแฟลงคอถึงกับสำลักในทันทีที่อ่านประโยคจากปากของพี่สาว เขาพ่นลมหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา บ่นไม่ดังไม่เบาหากก็ได้ยินด้วยกันทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“เป็นสาวเป็นนาง พูดจาอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน มิน่า...ถึงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนซัก---โอ๊ยยย”

ดูเอาเถอะ ใช่ว่าตอนนี้อยู่กันสองคนซะที่ไหน แต่ชเยศก็คล้ายจะไม่สนใจถึงบุคคลที่สามเลยสักนิด เขากล่าวหาพี่สาวของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย ถึงแม้ว่าก่อนจะจบประโยคเพียงหนึ่งพยางค์ก็กลับโดนทำโทษด้วยเท้าของชญาภาที่ข้ามฝั่งมาเตะขาของเขาให้ปวดปลาบก็เถอะ นั่นแสดงให้เห็นว่าชญาภาไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิดว่าอุปนิสัยแสนห้าวของตัวเองจะส่งผลมากแค่ไหน

ดูเหมือนอีกคนจะรับรู้ถึงสถานการณ์ได้ดี เขาหัวเราะเบาๆ พลางพรูลมหายใจยาว

“ทำอะไรน่ะ คงไม่ใช่ว่าเตะขาน้องชายเธอใช่ไหม?”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?”

“ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง ถ้าคุณเชนเขาพูดอย่างนั้นก็คงไม่แปลกอะไรหรอก”

“หนอย มนัส!!”

มนัสผุดลุกขึ้นยืนในทันที ไม่ต้องรั้งรอให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เขาก็เดินอ้อมแล้วทิ้งกายลงนั่งเคียงข้างชเยศ ทั้งยังบอกชเยศอีกด้วยว่าขอให้เคลื่อนจานกับแก้วมาตรงหน้าเขาที ไม่ใช่เพราะเกียจคร้าน แต่เป็นเพราะกลัวว่าระหว่างเคลื่อนย้ายก็อาจจะเอาไปชนกับแก้วหรือจานของอีกคนได้

โชคดีที่น้องชายของชญาภาจับจ้องใบหน้าเจ้าของบ้านตลอดเวลา ดังนั้นแล้วแม้มนัสจะเอ่ยเพียงกระซิบหรือเช่นไร หากเพียงแค่เขาอ่านปากออก เท่านั้นก็จะรับรู้ได้ในทันที

“เออนัท ฉันเห็นที่ร้านติดป้ายว่าอีกสองวันก็จะเปิดแล้วนี่นา”

“อื้ม ใกล้ถึงเวลาแล้วล่ะ”

ชายหนุ่มตอบกลับพลางยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ชเยศมองแล้วก็ให้เห็นถึงความสุขเล็กๆ ที่แผ่กระจายรอบตัว และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มได้แต่นั่งจิบกาแฟพลางตักบัตเตอร์เค้กเข้าปากอย่างเงียบเชียบ เริ่มเป็นฝ่ายอ่านปากของคนทั้งสองที่สนทนากันเรื่อยเปื่อยสบายๆ เสียมากกว่า

ชเยศย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับชญาภาครบสองอาทิตย์แล้ว แม้จะเป็นสองอาทิตย์ที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไรนัก แต่มันก็ทำให้เขาเริ่มเคยชินที่จะอยู่ต่างบ้าน มันเกือบจะเป็นกิจวัตรประจำวันที่จะต้องตื่นเช้ามาคอยเดินเล่นเป็นเพื่อนกับมนัส ตกเย็นก็รีบทำงานบ้านที่ถูกชญาภาใช้ให้เสร็จเพื่อจะออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเช่นเดียวกับตอนเช้า

แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ได้รู้เรื่องอะไรของมนัสมากนัก ด้วยโดยส่วนตัวแล้วเขามองว่าเขาพร้อมที่จะเป็นตาให้คนๆ หนึ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใจ เขาไม่ได้คิดจะเป็นหัวใจช่องหนึ่งให้มนัส เพราะเช่นนั้นแล้ว ต่อให้มีเรื่องที่สงสัยหรืออยากรู้มากเพียงใด เขาก็จะไม่พยายามเข้าไปลึกเกินกว่าที่ควรเป็น ยกเว้นเสียแต่ถ้ามนัสจะเปิดโอกาสนั้นเอง ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เคยทำอย่างนั้นเช่นเดียวกัน

เหมือนเว้นระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ ให้ได้รู้ว่ามีเส้นๆ หนึ่งที่แบ่งกั้นเพื่อความเท่าเทียมของกันและกัน

“ตั้งแต่วันมะรืน ตอนเย็นผมคงไม่ออกไปเดินเล่นแล้วนะครับคุณเชน”

เมื่อนึกขึ้นได้ มนัสจึงหันไปหาคนที่นั่งข้างๆ กันแล้วเอ่ยบอก ให้ชเยศเลิกคิ้วแล้วถามกลับ “ทำไมล่ะครับ?”

ชเยศไม่ได้รับคำตอบในทันที หากสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มที่แสนจริงใจผสานด้วยเปี่ยมสุข แล้วจึงค่อยเอ่ยบอกให้เขาได้นิ่งงัน หันกลับไปจัดการกับบัตเตอร์เค้กที่พร่องหายไปซะครึ่งชิ้น พลางพูดคุยกับชญาภาต่อจากนั้นโดยไม่ได้สนใจกับชเยศที่นั่งเงียบอยู่เลยแม้แต่น้อย

ที่เงียบน่ะไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่เพราะกำลังครุ่นคิดกับคำตอบนั้นอยู่ต่างหาก

“มะรืนนี้ผมจะกลับไปทำงานแล้วครับ”

ทำงาน...อย่างนั้นหรือ?

#To be continued