เปลี่ยน...ไม่เปลี่ยน เปลี่ยน เอ๊ะ! หรือไม่เปลี่ยนดี คำถามพวกนี้เริ่มวนเข้ามาในหัวของคนที่ทำงานมาได้สักระยะนึงใช่ไหมล่ะคะ เป็นปกติแหละค่ะที่เราจะรู้สึกว่าเอ๊ะเมื่อไหร่กันนะ ที่เราควรจะเปลี่ยนงานหรือเราไม่ต้องเปลี่ยนงานดี มีอะไรที่เป็นสัญญาณเตือนเปลี่ยนงานไหมว่าถ้าเจอแบบนี้เราควรจะต้องเปลี่ยนงานหลัก ๆ ก็มี 7 ข้อนะคะ ถ้าใครเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็อาจจะต้องลองชั่งน้ำหนักดู แต่ถ้ารู้สึกท็อกซิกมากเกินไปกับปัญหานั้นจริง ๆ ก็แนะนำว่าคงต้องออกแหละค่ะแต่เราก็ตัดสินใจแทนทุกคนไม่ได้



เช็ก 7 สัญญาณเตือนเปลี่ยนงาน ชวนฉุกคิดว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนงาน


1. ไม่มีความสุขกับการทำงาน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/6c/29/94/6c2994e60866cb0b038b1174013de10d.jpg

ไม่มีความสุขกับการทำงานใครกำลังเป็นแบบนี้บ้างคะ แม้ว่าทุกอย่างในบริษัทจะไม่มีปัญหาเลย แต่ตัวงานเป็นตัวการหลักที่ทำให้เราไม่แฮปปี้ มีแต่ความเครียดซึ่งมันอาจจะเกิดจากการทำงานไม่ตรงสาย หรือต่อให้ทำงานตรงสายแต่พอมาทำจริง ๆ มันก็ดันไม่แฮปปี้ซะงั้น คือมันไม่แปลกนะคะที่เราจะรู้สึกแบบนี้เพราะว่าเรายังไม่เคยได้ลองทำ พอเราได้ลองเราก็เลยได้รู้ว่างานนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำแล้วมีความสุข มันอาจจะเป็นความชอบเฉย ๆไม่ใช่ความชอบที่จะอยู่กับมันไปได้ตลอดอะไรแบบนี้ ถ้าไม่แฮปปี้จริง ๆ แล้วมันเริ่มกระทบกับปัญหาสุขภาพก็อยากให้ทุกคนออกมาเปลี่ยนงานไปทำด้านที่ตัวเองคิดว่าจะแฮปปี้กับมันดีกว่า ♥


➁ เงินเดือนไม่คุ้มกับความเหนื่อยและเนื้องาน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/fb/62/c6/fb62c6389db7fab2f330dc7aa52e1bd4.jpg

ปัญหาระดับชาติที่เรียกได้ว่ามันมีปัญหาตั้งแต่เรื่องกฎหมายแรงงานด้วยนะคะ เนื่องจากค่าแรงและเงินเดือนขั้นพื้นฐานของคนที่จบปริญญาตรีมันไม่ขึ้นมานานมากแล้ว แต่ค่าครองชีพสูงเอ๊าสูงเอา ทำให้เงินเดือนปกติก็แทบไม่พอใช้จ่ายแล้วยิ่งมาเจอกับบริษัทที่ใช้งานเราหนักแบบเอาเป็นเอาตายแต่ก็ยังได้เงินเดือนไม่คุ้มค่ากับการทำงานอยู่ดี มันก็รู้สึกว่าเหนื่อยเปล่านะคะ จริง ๆ เรื่องนี้ถ้าบริษัทมีความเข้าใจในตัวงานและเนื้อหางานมันจะไม่มีปัญหาเลยค่ะ สเกลงานเราเยอะมาก เราก็ควรจะได้เงินเดือนที่เยอะขึ้นตามภาระงาน แต่นี้ดันได้แค่พื้นฐานที่เขาตั้งกันไว้ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมนะคะถ้าเราทนต่อไปก็จะเหนื่อยเพิ่มไปเรื่อย ๆ สู้ลาออกไปเหนื่อยกับงานที่เขาพร้อมจ่ายเราดีกว่าค่ะ


➂ งานกระทบกับชีวิตส่วนตัว / ไม่มี Work Life Balance

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/37/1f/1f/371f1f64d41d9c78d128a07c45a4a5eb.jpg

เคยได้ยินคำว่าWork life balance ไหมคะ คือการทำงานและชีวิตส่วนตัวเราต้องแบ่งให้มันแยกออกจากกัน ไม่เอาเรื่องงานมารบกวนเวลาส่วนตัว เวลาส่วนตัวก็ไม่ควรกระทบเรื่องงานมากเกินไปในกรณีที่ไม่จำเป็น แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาจะไม่ใช่เพราะข้อหลังแต่จะเป็นเพราะข้อแรกอย่างการที่งานมากระทบชีวิตส่วนตัว เช่น เราไปเที่ยวทะเล แต่ยังมีเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าสั่งงานไม่หยุด ต้องหอบงานไปทำด้วย สรุปก็คือแทบไม่ได้เที่ยว แค่เปลี่ยนที่ทำงานเฉย ๆ มีบ้างในกรณีฉุกเฉินเชื่อว่าทุกคนเข้าใจดีนะคะ แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ชักจะไม่ดีแล้วนอกจากเสียสุขภาพกายแล้วยังเสียสุขภาพจิตอีกนะคะ เครียดเพิ่มเรื่อย ๆ เลย ถ้าเจอแบบนี้เปลี่ยนงานด่วน ๆ จ้า!


➃ สภาพแวดล้อมของที่ทำงานไม่ดี

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/10/d7/00/10d700e666dcb543200a3e148a12c665.jpg

ทุกอย่างดีหมด แต่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่ดีเอาซะเลยสภาพแวดล้อมที่ว่าคืออาจจะอยู่ใกล้กับสิ่งที่สร้างเสียงดังรบกวน อยู่ใกล้กับคลองที่มีกลิ่น หรือว่าตัวตึกทรุดโทรมไม่น่ามอง ที่ทำงานสกปรก ฯลฯ เหตุผลพวกนี้ก็ดีพอจะทำให้เราเปลี่ยนงานนะคะ การมาเจอสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ทุกวันส่งผลให้เราเกิดความเครียดและก็อาจจะส่งผลกระทบอื่น ๆ ตามมาด้วย อาจจะเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้ารู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่โอเคจริง ๆ ไม่แฮปปี้แล้ว การเปลี่ยนงานก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดนะคะ


➄ เพื่อนร่วมงานไม่ดี

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/c5/2b/b4/c52bb4bd9952e76a90a27c477b40492a.jpg

งานดี หัวหน้าดี เงินเดือนดี แต่เพื่อนร่วมงานไม่ดี... เอายังไงดีล่ะเนี่ย คือถ้าไม่ดีในระดับที่แค่รำคาญใจนิดหน่อยมันก็อาจจะพอทนไหวอะเนอะคะ แต่ถ้าเจอแบบท็อกซิก ชอบจิกกัด ชอบทำตัวรุ่มร่ามเราบ่อย ๆ แบบนี้ทำให้การมาทำงานของเรามีแต่ความน่าเบื่อ รู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มีแรงจูงใจจะมาทำงาน แถมประสิทธิภาพงานของเราก็อาจจะลดลงด้วย เนื่องจากสุขภาพจิตเสียนะคะ ดังนั้นเนี่ยอยากให้ทุกคนลองชั่งใจให้ดีในประเด็นนี้นะคะ เพื่อนร่วมงานไม่น่ารักนี่อยู่ในเลเวลไหน ถ้าเลเวลพอถูไถก็ฝืนทำไปก่อน แต่ถ้าไปถึงเลเวลที่ทำให้เราปวดหัวได้ทุกวัน แบบนี้ยิ่งทนสุขภาพจิตยิ่งเสียนะคะ ยังไงก็ลองไปคิดกันต่อน้า


➅ เจ้านายไม่มีความเห็นใจ

รูปภาพ:https://kenh14cdn.com/thumb_w/620/203336854389633024/2022/10/31/photo-3-16672170973291369811844.jpeg

ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เรียกได้ว่าเจอบ่อยมากนะคะ ทางเราเคยอ่านเจอจากทวีตนึงที่เขาถามว่า" สาเหตุอะไรที่คุณเลือกลาออกจากงาน " แล้วคนมาตอบทำนองว่าเจ้านายไม่มีความเห็นใจเยอะพอสมควรเลยค่ะ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ลางานเพราะป่วย หัวหน้าก็ยังจะสั่งงานบอกว่าอยู่บ้านก็ทำงานได้ เป็นต้น อะไรแบบนี้ถ้าใครเจออยากจะให้หนีไปให้ไกลเลยค่ะ เพราะถ้าหัวหน้างานไม่มีความประนีประนอม ไม่มีความเห็นใจลูกจ้างเขาจะเอารัดเอาเปรียบเรามากกว่านี้อีกนะคะ แล้วก็จะทำไปเรื่อย ๆ ด้วย ถ้าเรายอมเขาก็จะยิ่งได้ใจ ดังนั้นขอเป็นอีกเสียงที่สนับสนุนให้ลาออกและเปลี่ยนงานด่วน!


➆ ความรู้สึกที่บอกว่าเราควรขยับขยายสายงาน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/60/a4/c2/60a4c2f528dcd2ddc7eb936606894b64.jpg

ในส่วนของข้อสุดท้ายนี้มันก็เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากนะคะว่าความรู้สึกที่บอกว่าเราควรขยับขยายในหน้าที่การงานมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง เกิดตอนไหน มีอะไรบอก หลัก ๆอาจจะต้องสังเกตจากระยะเวลาด้วยแหละค่ะถ้าเราอยู่ที่เดิมมา 3 - 4 ปี ก็อาจจะเริ่มมีความคิดในการอยากจะขยับขยายตำแหน่งและฐานเงินเดือนให้มากขึ้น ซึ่งก็ไม่แปลกนะคะเพราะส่วนใหญ่แล้วคนก็จะเปลี่ยนงานเฉลี่ยอยู่ที่ 2 - 4 ปีนี่แหละค่ะ ถ้าใครรู้สึกว่างานตรงนี้มันอิ่มตัวแล้ว เริ่มอยากขยับขยายแล้วก็แนะนำว่าลองดูสักตั้งค่ะเริ่มใหม่มันไม่ง่ายแต่อาจจะเป็นโอกาสดี ๆ ที่เข้ามานะคะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่า ♥



ไหนใครเช็กลิสต์มาจนถึงข้อ 7 แล้วเจอติ๊กถูกแทบจะทุกสัญญาณเตือนเปลี่ยนงานบ้างไหมคะ?ถ้าเป็นแบบนี้แล้วก็อยากให้ทุกคนชั่งน้ำหนักกันดูนะคะว่ามันคุ้มไหมกับที่ทำอยู่ ถ้าคุ้มและคิดว่าไหวก็ทำต่อไปแต่ถ้าไม่คุ้มจริง ๆ และคิดว่าคงต้องเปลี่ยนงานก็ลาออกเลยนะคะอันนี้ไม่ได้ยุน้า แต่ประสบการณ์รอบตัวบอกมาเยอะมากค่ะว่าถ้าเราทนกับความท็อกซิกบ่อย ๆ มันทำให้รู้สึกเครียดเกินไป นอกจากจะเหนื่อยกายแล้วก็ต้องเหนื่อยใจอีกเอาสุขภาพจิตไปแลกมันไม่ค่อยคุ้มกันดังนั้นเนี่ยถ้าใครรู้สึกว่าสุขภาพจิตเราย่ำแย่มากแล้ว ก็ถอยออกมาจะดีกว่านะคะ ♥ยังไงก็ขอให้ทุกคนได้เจอกับงานที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดี หัวหน้าที่ดีและก็ได้เงินเดือนที่คุ้มค่ากันนะคะส่วนทางเราขอตัวลาทุกคนไปก่อน แล้วกลับมาพบกันใหม่ที่https://sistacafe.com/ในบทความหน้า สวัสดีค่า :-D