" นิสัยแย่มาก! เธอมันคนขี้โกหก!!! "
จู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาด่าใส่หน้าแบบนี้เข้า สาวซิสคงยังไม่คิดมากอะไรหรอก แต่ถ้าเป็นเพื่อนในกลุ่มหรือคนรู้จักเข้าละก็... หนาวสิคะ งานนี้ มันทำให้สาวซิสต้องย้อนกลับมาพิจารณาพฤติกรรมของตัวเองเป็นการด่วนเลยว่าเข้าข่ายหรือเปล่า ที่พูดหรือทำลงไป มันจะเสริมสร้างตัวเองให้กลายเป็นคนขี้โกหก ตามที่โดนบอกกล่าวมาหรือไม่
ลองมาดูพฤติกรรมเหล่านี้เลยค่ะ
+++ พูดชมคนอื่นแบบไม่สนความจริง +++
" เธอสวยจังเลย เธอเก่งจัง เธอ เธอ บลาๆ "
การพูดชมคนอื่นไม่ถือเป็นเรื่องผิดและเป็นการโกหกแต่อย่างใด เพราะใครๆ ก็คงอยากได้ยินคำหวานมากกว่าคำด่ากันอยู่แล้วเนอะ แต่การหลับหูหลับตา พูดชมไปเรื่อย แบบไม่อิงความจริงขึ้นมาสักนิเดียว แบบนี้เข้าข่ายเป็นการโกหกแล้วนะคะ ที่สำคัญไปกว่านั้น หากคนได้รับคำชมมารู้ความจริงภายหลัง นอกจากจะรู้สึกไม่ดีต่อเราแล้ว ยังเป็นการทำลายมิตรภาพต่อกันอีกต่างหาก
ดังนั้นก่อนจะพูดชมใคร อย่าเวอร์เกิน และอิงความจริงกันสักเล็กน้อยก็ดีนะ
+++ บอกปัดไปเรื่อย +++
" ขอโทษนะที่ไปสาย ตอนนี้อยู่ที่นี่แล้ว กำลังจะไปหานะ "
เวลาเพื่อนนัดไปเที่ยวด้วยกัน หรือชักชวนทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง โม้ไปอย่างนั้นแหละ ความจริงแล้วตรงกันข้ามเลย ยังไม่ออกจากบ้านบ้างล่ะ ไม่อยากทำกิจกรรมนั้นๆ บ้างล่ะ นานๆ ครั้งอ้างไปก็ไม่เสียหายอะไรหรอก แต่ถ้าทำเป็นประจำ แบบนี้มันก็เข้าข่ายเป็นคนโกหกดีๆ นี่เองค่ะ
เราแนะนำเลยว่าควรแก้ไขซะ พูดความจริงออกไปบ้าง ไม่ทำให้เพื่อนเสียความรู้สึกหรอก
ในทางกลับกัน มันยังแสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อกันอีกต่างหาก
+++ กลบเกลื่อนความจริง +++
" ฉันชอบกินโดนัทมากเลย แต่วันนี้ขอผ่านนะ "
ปากบอกว่าชอบสิ่งนั้น รักที่จะทำสิ่งนี้ พอถึงเวลาจริงเจ้า เธอก็ดันสามารถหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนเป็นอย่างอื่นได้ทุกครั้งไป และต่อให้พูดไปแบบนั้นเพราะกลัวจะโดนเพื่อนเกลียด แต่ถ้าคิดหนีด้วยวิธีนี้ไปตลอด รับรองเลยค่ะ โดนเพื่อนหาว่าเป็นคนขี้โกหกแน่
ดังนั้นเราควรพูดปฏิเสธออกไปบ้างก็ได้นะ ไม่ใช่รับหมด แล้วมาบ่ายเบี่ยงภายหลัง
เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เพื่อนเสียความรู้สึกมากกว่าบอกความจริงไปตรงๆ เสียอีก!
+++ โอ้อวดเกินจริง +++
" บอกเลย ว่าฉันเก่งเลขมากนะ! มีอะไรไม่เข้าใจตรงไหน ถามกันได้เลยจ้า "
อวดไว้เสียดิบดี สุดท้ายพอเพื่อนมาขอความช่วยเหลือเข้าจริงๆ เธอต้องหาทางรอดเป็นการใหญ่เลย ทั้งหาตัวช่วยสำรอง ทั้งบ่ายเบี่ยงไม่ทำโดยอ้างไปว่าตัวเองไม่ว่าง สารพัดวิธีที่คิดได้อะ ช่วงแรกๆ เพื่อนของเราก็อาจจะไม่รู้สึกอะไรหรอก หลงเชื่อคำพูดเธอด้วยซ้ำ แต่พอผ่านไปนานวันเข้า ความจริงเริ่มเปิดเผยออกมา ถ้าเพื่อนมารู้เข้าภายหลัง มันเสียไปเลยนะคะ ความรู้สึกอะ ดังนั้น
เรื่องโม้อะ พูดได้ แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็อย่าบ่ายเบี่ยงเลย พูดความจริงซะ เพื่อนๆ จะได้ไม่มองเธอเป็นคนโกหก
+++ ไร้ซึ่งความรู้สึกผิด +++
" ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เอง โกหกนิดเดียวไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย "
ตรวจเช็คตัวเองเลยค่ะ สภาพจิตใจของสาวซิสถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ น่ากลัวว่าเธอกำลังติดนิสัยพูดโกหกจนเคยชินเสียแล้วล่ะ เพราะต่อให้โม้เรื่องอะไรไปก็ตามแต่ และเกิดเรื่องขึ้นในภายหลังจากคำโกหกของตัวเอง ทว่าในใจสาวซิสไม่รู้สึกผิดขึ้นมาสักนิดเลย แถมเฉยชากับมันด้วยซ้ำ มันก็จะส่งผลให้เราพูดโกหกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีวันจบค่ะ อาการอย่างนี้หากเป็นแล้วแก้ยากมาก ดังนั้นควรพิจารณาตัวเองก่อนว่าเข้าข่ายไหม
ถ้าใช่ก็รีบปรับทัศนคติเป็นการด่วน ก่อนตัวเองจะชินชากันการโกหกค่ะ
+++ ปล่อยตามเลย ไม่คิดแก้ไขความเข้าใจใหม่ +++
" ทำผิดไปแล้ว ... งั้นก็ปล่อยตามเลยไปก็แล้วกัน "
คำพูดใดๆ ก็ตามที่หลุดออกจากปากไปแบบไม่ได้ตั้งใจ หรือพยายามหาทางออกฉุกเฉินให้กับตัวเองในวินาทีนั้นก็ตาม ในมุมมองของตัวเองอาจจะเป็นวิธีปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง ตรงข้ามกับความเป็นจริงแล้ว มันก็นับเป็นการโกหกอยู่ดีค่ะ หากเรื่องที่พูดไปไม่ร้ายแรงอะไร ก็ปล่อยผ่านไปก็ได้ แต่ถ้าเรื่องที่พูดไปมีผลกระทบใหญ่หลวง แล้วเราไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิดนั่นเลย โดนแน่ๆ ค่ะ โดนหาว่าเป็นคนขี้โกหก....
++++++++++++++++
เป็นอย่างไรกันบ้าง อ่านกันไปทีละข้อ เข้าตัวเองข้อไหนกันบ้างไหมคะ?
ถ้ามีก็พยายามแก้ไขพฤติกรรมของตัวเองใหม่นะ อย่าทำให้บ่อยจนเกินเป็นความเคยชิน โกหกบ้าง พูดความจริงบ้าง คนจะได้ไม่มองเราในแง่ลบมากนักค่ะ
ส่วนในตอนนี้ เราปล่อยให้สาวซิสได้มีเวลาอยู่กับตัวเองดีกว่าเนอะ จะได้พิจารณาแต่ละข้ออย่างละเอียดว่าตัวเองโดนข้อไหนไปบ้าง ควรแก้ไขพฤติกรรมไหน คนจะได้ไม่มองว่าเราขี้โกหก
งั้นก็แยกย้ายกันตรงนี้เลยละกัน แล้วพบกันใหม่ บ๊ายบายค่า