บทที่ 3


อากาศช่วงบ่ายในวันนี้ไม่ถือว่าร้อนจนเกินไป หากผิวของเขาก็ยังรับรู้ได้ว่าแสงแดดตกกระทบให้รู้สึกแสบเล็กน้อย แต่ทว่ามนัสไม่ได้สนใจกับความร้อนของแดดเท่าที่ควร ชายหนุ่มยังคงตั้งใจเดินต่อไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด หากก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด เขาใช้เวลานี้ในการเดินเล่นไปด้วยในตัว และถือว่าให้สุนัขของเขาออกกำลังกายไปด้วยพร้อมๆ กัน

เพราะอย่างนั้นแล้วกว่าจะมาถึงหน้าบ้านหลังเล็กชั้นเดียวที่มนัสจำภาพได้ดีเมื่อหลายปีก่อน ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาทีกว่าจะมาถึง มือเรียวยกขึ้นกวาดไปกับผนังที่มีผิวขรุขระ แล้วจึงหยุดที่ปุ่มนูนๆ ซึ่งเป็นกริ่งของบ้าน เขากดลงไปเสียสามจังหวะ และยืนรออยู่เช่นนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูรั้วดังขึ้น

“อ้าวนัท ทำไมออกมาไม่กางร่ม โอ๊ย ฉันล่ะร้อนแทนนายเลย!”

ประโยคที่ชญาภาทักทายสร้างให้รอยยิ้มเกิดขึ้นบนดวงหน้ากลมเกลี้ยงไม่ยากเย็นนัก ทั้งเสียงหัวเราะสดใสก็ยังดังขึ้นให้คนที่นิ่วหน้าเมื่อครู่ยกยิ้ม ชญาภาพินิจมองเพื่อนบ้านก็ให้นึกถึงน้องชายของเธอเหลือเกิน ถ้าชเยศจะร่าเริงได้เหมือนที่มนัสเป็นก็คงจะดีกว่านี้นัก

แต่ก็นั่นแหละนะ...ใช่ว่าชเยศจะอยู่ในโลกอมทุกข์เสียเมื่อไหร่


“เอาคุกกี้มาให้ เมื่อวานคุณแม่ออกไปข้างนอกแล้วซื้อมาฝาก ลองกินแล้วอร่อยดี ก็เลยแบ่งไว้ให้น่ะ”

มนัสว่าอย่างนั้นพลางยกกล่องคุกกี้ขึ้น ให้ชญาภาได้ส่งเสียงด้วยความยินดีและรับไปในทันทีโดยไม่ต้องคิด ก่อนเจ้าของบ้านจะออกปากเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน และชายหนุ่มก็ชั่งใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินตาม


มนัสสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด บ้านของชญามีลักษณะเด่นที่กลิ่นหอมเจือจางที่ลอยอบอวลแทบตลอดเวลา เพราะหญิงสาวที่นอกจากจะหลงใหลในเสียงเพลงแล้ว หากมีอโรม่าจางๆ ให้ได้กลิ่นอยู่ตลอดแล้วล่ะก็ ความคิดของเธอจะโลดแล่น รู้สึกกระปรี้กระเปร่าพร้อมที่จะทำงานในทุกวินาทีเลยล่ะ

เขาเคยเป็นผู้ช่วยให้ชญาภามาก่อนสมัยที่ยังเรียนและมองเห็น เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มากกว่าบ้านหลังอื่นที่อยู่ในละแวกเดียวกัน

“นัท! บอกลัคกี้ให้ไปนอนที่ของมันซะสิ!!”“อะไรกัน...ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย”“อย่าทำให้หมาของนายนิสัยเสียในบ้านฉันนะ พรมฉันเพิ่งซัก”


มนัสหัวเราะร่วนให้คำบ่นนั้น ก่อนจะแตะที่สันหลังของลัคกี้แล้วออกปากให้ไปนอนบนเบาะใหญ่ซึ่งเป็นที่นอนเฉพาะของมัน และลัคกี้ก็ยินยอมเดินไปแต่โดยดี มันหย่อนกายลงนอนบนฟูกนั้น ขณะที่ยังหอบแฮ่กมองเจ้าของของมันที่นั่งเอนหลังปิดเปลือกตาบนโซฟา รับฟังเสียงเพลงที่เปิดคลออย่างสบายอารมณ์

ทว่าจังหวะหนึ่งที่มันเกือบจะหลับไปอยู่แล้ว ทั้งกลิ่นและเสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจนหูของมันยกขึ้นอย่างน่ารัก“กลับมา...แล้ว”

ถ้อยคำนั้นคล้ายขาดหายไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนต่อให้จบคำ ให้มนัสที่เอนหลังพิงพนักโซฟาและหลับตาอยู่ได้ยืดกายขึ้นนั่งหลังตรง คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน แต่ที่แน่ๆ เขาคิดว่าเสียงของคนแปลกหน้าอาจจะเป็นแขกของชญาภาก็เป็นได้ เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจึงหยัดกายขึ้นยืน หันหน้าเข้าหาโซฟาที่ใครอีกคนน่าจะยืนอยู่ด้านหลังแล้วกะพริบตาปริบๆ

“อ่า...สวัสดีครับ”

กลายเป็นคนมาใหม่ที่ส่งเสียงทักทาย ให้มนัสยกกลีบปากขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางผงกศีรษะทักทายตอบกลับไป “สวัสดีครับ”

เสียงคุ้นจัง...

“อ้าว เชนกลับมาเร็วจัง นึกว่าจะไปเดินสำรวจเส้นทางนานกว่านี้”

ชญาภาว่าติดตลกขณะเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานเล็กที่บรรจุคุกกี้จำนวนหนึ่ง ให้ชเยศได้หันไปมองพี่สาวแล้วเลิกคิ้วขึ้น เป็นสัญญาณให้ได้รู้ว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้อ่านปากนะ หากหญิงสาวกลับไม่ได้สนใจเท่าที่ควร เธอยกมือขึ้นโบกปัดเพื่อสื่อว่าไม่มีอะไรมากมายนักหรอก ก่อนจะเดินมาหยุดข้างโซฟาในฝั่งด้านนอกที่ชเยศยืนไม่ไกลนัก

“นัท ที่นายได้ยินน่ะน้องชายฉันเอง ชื่อเชน”

“คุณนี่เอง” มนัสว่าเสียงแผ่วพลางยกยิ้ม คล้ายเสียงหัวเราะแผ่วเบาจะดังขึ้นจากใครอีกคน ก่อนชญาภาจะแนะนำเขาให้อีกคนได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามบ้าง

“ส่วนนี่นัท เพื่อนบ้านที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็...เอ่อ...อันที่จริง...”


“ฮื่อ อ้ำอึ้งอยู่ได้ คุณชเยศเขารู้แล้วล่ะน่า”

มนัสขัดขึ้นเมื่อรับรู้ว่าส่วนที่ขาดหายไปในการแนะนำตัวเขานั้นคืออะไร และนั่นเองจึงทำให้ชญาภาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ จนชเยศที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอได้อธิบายด้วยถ้อยคำราบเรียบราวกับไร้ความรู้สึกใดทั้งสิ้น

“เจอกันเมื่อวันก่อนตอนที่เอากระเป๋าเสื้อผ้ามาเก็บน่ะ”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นนัทก็คงจะรู้ว่า...”กลีบปากที่กำลังขยับเอ่ยถ้อยความกลับนิ่งชะงักไปในทันที เพราะวงหน้าคมคายของน้องชายที่จ้องเธอเขม็งพลางส่ายหน้าไปมาให้ได้รู้ว่าไม่ต้องการให้เอ่ยสิ่งใดออกไป เพราะอย่างนั้นแล้วเธอจึงได้แต่อ้าปากค้างพลางสรรหาถ้อยคำมาเติมเต็มส่วนที่หยุดไป มองเห็นว่าดวงหน้าเรียวได้รูปของเพื่อนบ้านที่อายุเท่ากันนั่นเอียงเล็กน้อยด้วยความสงสัย จนเธอเองต้องหันไปคาดคั้นกับชเยศว่าควรพูดอะไรนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงระบายลมหายใจแล้วเอ่ยขึ้นแทน“อือ คุณนัทเขารู้แล้วว่าผมจะมาอยู่แถวนี้ แค่ไม่รู้เท่านั้นเองว่าอยู่กับพี่”ชญาภากลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่าย นิสัยของน้องชายที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิดหลังจากพิการทางหู ก็คือการที่ไม่ชอบเปิดเผยเรื่องของตนให้ใครรู้ เธอเองก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไม แต่ถ้ามันจะทำให้ช้องชายของเธอสบายใจ เธอก็คงต้องหลับหูหลับตาปล่อยเลยตามเลยกระมังเอาเถอะ ยังไงมนัสก็มองไม่เห็นอยู่แล้วนี่“มีน้องชายหล่อก็ไม่บอกนะฟ้า”“หือ?”“ก็ฟ้าน่ะสวยจะตาย คุณชเยศก็คงจะหล่อด้วยเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”ชเยศหัวเราะเสียงดังในทันทีที่อ่านปากจบประโยค เขายกมือชี้หน้าพี่สาวแล้วหัวเราะอย่างขบขัน จนชญาภาต้องตีหน้ายักษ์แล้วแยกเขี้ยวใส่น้องชายที่ทำหน้าล้อเลียน รู้หรอกว่าความนัยของเสียงหัวเราะนั่นคงจะเพราะตลกที่มีคนชมเธอว่าสวย หึ!!“เชนน่ะนะ? โฮ้ย...ขี้เหร่จะตาย หมอนี่น่ะต่างกับฉันสุดขั้วเลยล่ะนัท”“อ้าวๆ พี่มากล่าวหาผมแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าผมขี้เหร่จริง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีแต่สาวเข้ามาจีบ”“หมั่นไส้!”ไม่ว่าเปล่า ชญาภายังยกขาขึ้นเตะน้องชายตัวเองเต็มแรงจนอีกคนส่งเสียงร้อง และแม้มนัสจะมองไม่เห็นว่าทั้งสองกำลังทำอะไรกันอยู่ก็เถอะ แต่จากประสบการณ์และความใกล้ชิดในก่อนนี้จึงทำให้รู้ว่าชญาภาน่ะ แม้จะเป็นหญิงสาวที่หน้าตาจัดไปทางสะสวยกึ่งน่ารัก แต่กิริยาของเธอนั่นน่ะสิ...ที่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด“งั้นเดี๋ยวฉันกลับบ้านเลยดีกว่า แกอย่าลืมกินคุกกี้ให้หมดนะ”“หมดแน่ แต่ไม่ใช่ฉันหรอกที่จะกินหมด หมอนี่ต่างหาก!”ได้ยินเสียงถอนลมหายใจยาวจากชเยศ ก่อนที่จู่ๆ จะมีมือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา ให้มนัสที่กำลังก้าวเดินหยุดนิ่งในทันที ทั้งด้วยไม่เข้าใจในสัมผัสจากมือกว้าง และไม่เข้าใจด้วยว่าจะยื้อเขาไว้เพื่ออะไรทว่าประโยคที่หลุดออกมาจากปากของอีกคนนั้น... “เดินคนเดียวคงจะลำบาก เดี๋ยวผมไปส่งคุณดีกว่านะ”มนัสกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่ทันได้รู้ตัว และในวินาทีถัดมา เขาก็ส่ายหน้าและยกยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยปฏิเสธ กระนั้นผู้ชายที่ชื่อชเยศก็หาได้ปล่อยมือออกจากเขาแต่อย่างใด ชายหนุ่มเคลื่อนมือที่จับข้อมือนั้นลงแล้วกุมกับมือเรียว ออกแรงรั้งให้มนัสก้าวเดินไปพร้อมๆ กันด้วยความไม่เต็มใจที่สัมผัสได้“บ้านอยู่แค่นี้เองครับ เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า ไม่รบกวนคุณชเยศหรอกครับ”“คุณน่ะมองไม่เห็น ถึงจะมั่นใจยังไงแต่ก็อาจเกิดอันตรายได้นะ ผมไปส่งดีกว่าครับ”ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจสร้างให้ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มตีตึงขึ้นในทันที กลีบปากอิ่มเอิบเม้มเข้าหากันขณะยื้อกายเอาไว้ มนัสยังคงได้ยินเสียงของเจ้าลัคกี้ดังไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะได้ยินเสียงประตูรั้วให้ได้รู้ว่าเขาถูกดึงให้เดินตามออกมาจนถึงหน้าบ้านแล้ว เพราะอย่างนั้นชายหนุ่มจึงยิ่งขยับมือของตัวเองหมายให้หลุดจากมือที่น่าจะกว้างกว่า ทั้งย่นคิ้วแสดงออกถึงความไม่พอใจจนชเยศได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัยทำไมอารมณ์ถึงได้เปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ล่ะ? นี่เขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า?“ผมจะเดินกลับบ้านเองครับ” มนัสยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น“ไม่เป็นไรครับ ผมไปส่งดีกว่า อันตรายนะ”“ไม่ต้องครับ ปล่อยผมได้แล้ว...คุณชเยศ!”จากสีหน้าและกลีบปากที่เปล่งเสียง ถึงชเยศจะไม่ได้ยิน แต่ชายหนุ่มก็เชื่อได้เลยว่าโทนเสียงนั้นจะต้องขึ้นสูงและดังมากกว่าปกติ ยังผลให้เขายิ่งจับมือมนัสแน่นขึ้นกว่าเดิม ขมวดคิ้วเป็นปมหลวมเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับน้ำใจและความหวังดีจากเขา“ทำไมล่ะครับ ผมทำอะไรให้คุณโกรธรึเปล่า”เขาแค่อยากช่วยเหลือคนที่พิการเหมือนกัน...ก็เท่านั้นเอง“ถึงผมจะตาบอด แต่ก็ใช่ว่าผมจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เส้นทางนี้ผมเดินมายี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็เดินของผมเองได้ โอเครึเปล่าครับ!?”อา...ชายหนุ่มไปสะกิดปมด้อยของอีกคนโดยไม่ได้ตั้งใจนั่นเอง “ครับ ผมรู้แล้ว ผมขอโทษด้วยถ้าพูดอะไรไม่เข้าหู แต่ก็...น่า เดินไปด้วยกันเถอะครับ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก”ชเยศว่าอย่างนั้นพลางออกเดินอีกหน คราวนี้เขาไม่สนใจอีกแล้วว่ามนัสจะพูดขัดหรือปฏิเสธอะไรอีกหรือไม่ และอาจจะเป็นเพราะแรงยื้อที่ดื้อรั้นไม่ยอมเดินกับเขานั่นเอง ที่ทำให้เรียวคิ้วซึ่งเคยขมวดยุ่งเริ่มคลายตัว ก่อนกลีบปากหยักจะค่อยๆ คลี่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างในที่สุด นั่นเพราะชายหนุ่มเกิดรู้สึกเอ็นดูเพื่อนบ้านของพี่สาวขึ้นมาซะอย่างนั้น แม้จะไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด แต่คงเป็นเพราะกิริยาดื้อรั้นในตอนนี้น่ะ...ดูน่ารักไม่เบาเลยล่ะ“ทำไมคุณไม่ฟังผมเลย นี่คุณชเยศ โถ่เอ๊ย!!”มนัสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำบ่นของเขาไม่ระคายหูใครอีกคนเลยสักนิด เพราะนอกจากจะไม่ได้ยินเสียงแล้ว ชเยศยังไม่คิดจะหันไปอ่านปากของมนัสอีกด้วย แม้จะรู้ดีก็ตามว่าในตอนนี้อีกคนกำลังขยับปากพูดเป็นต่อยหอยไม่ยอมหยุด และคาดเดาได้ว่าคงกำลังบ่นให้คนอย่างเขาทุกวินาทีที่เปล่งเสียงเป็นแน่“บ้านคุณหลังไหนครับ”“ปล่อย ผมกลับเองได้”ก็ยังดื้ออยู่อย่างนั้น...ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวหรือเพราะสนิทกับชญาภากันแน่ “เราเดินกันมาตั้งนานแล้วนะ จนจะสุดทางอยู่แล้ว บ้านคุณหลังไหนน่ะ?”มนัสหยุดเท้าที่ก้าวเดินในทันที ทั้งเผยอกลีบปากคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่พูด ใบหน้าเรียวหันไปรอบๆ ราวกับตัวเองมองเห็น ทั้งที่จริงแล้วเขาแค่เกิดสภาวะสับสนขึ้นมากะทันหันก็เท่านั้น และชเยศก็ได้แต่ยืนยกยิ้มมองคนที่หันซ้ายหันขวาด้วยความสนใจ อยากรู้นักว่าคนดื้อดึงที่เพิ่งรู้จักกันคนนี้จะว่าความอย่างไรต่อ ในเมื่อเขาก็เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่และอีกคนก็มองไม่เห็น จะรู้ได้ยังไงว่าที่ที่ยืนกันอยู่ตรงนี้อยู่ตรงจุดไหนแล้ว“ปล่อยผมก่อน”“หินแถวนี้เยอะนะครับ เดี๋ยวสะดุดหรอก”มนัสสะบัดหน้าหันไปหาพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง พวงแก้มนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยทั้งไอแดดและเหน็ดเหนื่อยจากการโวยวาย “ถ้าหินเยอะก็ต้องเดินย้อนกลับไป นี่มันลึกเกินไป บ้านผมไม่ได้อยู่แถวนี้”“ก็ถ้าคุณบอกแต่แรกก็คงไม่เดินเลยหรอก ใช่ไหมล่ะ?”“เพราะคุณไม่ยอมฟังผมเองต่างหาก!”มนัสเถียงกลับพร้อมกับยืนยันให้ชเยศปล่อยมือเขาเป็นอิสระได้แล้ว และชายหนุ่มที่ได้รับใบหน้าบูดบึ้งเป็นรางวัลของพลเมืองดีก็เลยถอนลมหายใจแล้วปล่อยมือในที่สุด กลีบปากอิ่มถูกฟันขาวขบกัดขณะย่อกายลงแล้วหยิบสายจูงสุนัขที่ลัคกี้คาบเอาไว้ พอยืนเต็มความสูงได้ก็ไม่คิดจะส่งเสียงขอบคุณอีกฝ่ายเลยสักนิด ชายหนุ่มหันหลังในทันที ก้าวเดินไปตามทางเดิมโดยไม่สนใจคนที่อยู่เบื้องหลัง แม้จะรับรู้ก็ตามว่าอีกคนยังเดินตามอยู่ไม่ห่าง แต่เขาจะไม่หันไปหาเด็ดขาดแม้ว่าตอนนี้มนัสจะเกิดความไม่มั่นใจขึ้นก็ตาม...ก็เขาไม่ค่อยได้เดินมาแถวนี้เท่าไหร่นี่นา เพราะน้องชายของชญาภาแท้ๆ เลย!“บ้านคุณนัทเป็นแบบไหนล่ะครับ หมู่บ้านนี้ทรงบ้านเหมือนกันหมดเลย แยกยากชะมัด”มนัสไม่ได้ตอบคำถามใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มยังคงหันหลังให้ชเยศอยู่อย่างนั้น เดินเลียบไปกับฝั่งขวาและใช้มือกวาดไล่กำแพงบ้านแต่ละหลังไปอย่างใจเย็น เกิดหงุดหงิดใจขึ้นมาเบาๆ ที่ได้ยินเสียงคนข้างหลังร้องเพลงที่ฟังแล้วก็ให้รู้ว่าห่วยมากขนาดไหน ก่อนที่สุดจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วหยุดยืนทว่าไม่ทันได้สบายใจดี เสียงของคนด้านหลังก็ดังขึ้นอีกระลอก“อ้าว นี่คุณนัทอยู่บ้านเดียวกับพี่สาวผมหรือครับเนี่ย?”“เอ๊ะ...” ไม่นะ มนัสมั่นใจว่านี่คือบ้านของเขา เพราะจากที่สัมผัสกับกำแพงบ้านแล้ว ผิวขรุขระแบบนี้น่ะมีแค่บ้านของชญาภากับบ้านของเขาเท่านั้นแหละ“ผมล้อเล่นครับ”ชายหนุ่มกัดกลีบปากตัวเองแล้วทำทีเป็นไม่ได้ยินเสียงของชเยศ ไล่หาประตูบ้านแล้วผลักบานประตูโดยให้ลัคกี้เดินเข้าไปก่อน และเขาก็ปิดประตูลงกลอนก่อนหันหลังเดินเข้าบ้านไปโดยที่ปล่อยทิ้งให้อีกคนยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านทว่าชเยศที่โดนอีกคนเสียมารยาทใส่ก็หาได้ใส่ใจอะไร เขายังคงยกยิ้มทั้งกลีบปากและดวงตาอยู่เช่นนั้น ก่อนจะยืนคว้างอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ ให้ตัวเองได้ถอนลมหายใจก่อนตัดสินใจกลับบ้านในที่สุดที่จริงแล้วหากเป็นคนอื่นอาจจะปล่อยมนัสไว้แล้วเดินหนีไป ไม่ก็โมโหหงุดหงิดที่อีกคนไม่ยอมรับความหวังดี แต่กับชเยศแล้วไม่ใช่อย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะมนัสก็คล้ายกับเขา แม้จะยอมรับตัวเองดีว่าพิการอย่างไร แต่จะไม่ยอมรับความหวังดีจากใครๆ...เพราะคิดว่าตัวเองดูแลตัวได้ดีชเยศหัวเราะกับตัวเองยามเมื่อนึกถึงใบหน้าบึ้งตึงของเพื่อนบ้านที่เพิ่งรู้จักกัน เกิดความเอ็นดูขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ และเขาก็ได้แต่คิดว่า...คงต้องอยู่ใกล้และช่วยเหลือให้มากกว่านี้แล้วสิถึงเขาจะไม่ได้ยิน แต่ถ้าหากได้ลองเป็นดวงตาให้ใครสักคน...มันก็อาจจะดีรึเปล่านะ?