Missing Pieces


บทที่ 4 - The First Change

“จะไปไหนเหรอ”เด็กหนุ่มร่างผอมขาวสวมแว่นทรงกรมกรอบดำนามซันที่นั่งข้างเขาละสายตาจากหนังสือ มองมือกีตาร์หนุ่มที่ลุกขึ้นทันทีเมื่อเสียงออดเริ่มช่วงพักสิบนาทีดังขึ้น

“ใบสมัครวง”คินตอบพลางชูกระดาษในมือให้ดู “จะไปถามชื่อนามสกุลน้อง”

“ถามในไลน์ไม่ได้เหรอ”ซันเลิกคิ้ว “หรือไม่มีใครตอบ”

“นั่นล่ะ”มือกีตาร์ถอนหายใจแผ่วเบา นอกจากนัทแล้วก็ไม่มีใครตอบกลับมา ฟรองซ์ดูเหมือนแทบไม่เปิดไลน์ด้วยซ้ำ ซึ่งก็แปลกที่คนมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างคน ๆ นั้นจะไม่เช็คโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือบางทีอาจมีข้อความเยอะจนอีกฝ่ายเหนื่อยที่จะตอบก็ได้ซันหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มใต้กรอบแว่นหรี่เล็กลงเหมือนมีความนัยบางอย่างผสานกับแววจับผิด ทำให้คินเลิกคิ้วขึ้น

“อะไร?”

“เปล่า ๆ ” หนุ่มร่างผอมโบกมือโดยยังไม่คลายรอยยิ้มไปจากใบหน้า “รีบไปเถอะ เดี๋ยวหมดเวลาก่อน ไว้ค่อยคุยกัน”

ได้ยินดังนั้นคินจึงรีบเดินออกมาจากห้องเรียนที่มีคนมาเพียงสิบกว่าคนเหมือนวันอื่น

สมาชิกวง d’artifice ต่างเรียนอยู่ตึกนี้ทั้งหมด ความจริงก็เป็นการลงแข่งในนามตึก ถึงได้มีคนติดต่อให้พวกเขามารวมกันเช่นนี้ โดยตึกหนึ่งส่งตัวแทนได้หลายวง

ลงมาได้เพียงชั้นเดียว หน้าห้องที่อยู่ริมบันได เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มตัวเล็กผู้เป็นนักร้องนำของวงยืนอยู่กับเพื่อนอีกสองคน วรินเลื่อนสายตามาสบเพียงวินาทีสั้น ๆ ก่อนจะกลับไปมองวงสนทนาในตอนที่คินโบกมือทักพอดี

“วริน”คนเป็นรุ่นพี่ส่งเสียงเรียก แต่ดูเหมือนจะเบาเกินไปเมื่อคนถูกเรียกไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด “นี่ วริน”นักร้องนำตอบสนองด้วยการเดินลงบันไดไปพร้อมกลุ่มเพื่อนคินเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง มองแผ่นหลังเด็กสาวที่ไกลห่างออกไป ก่อนตัดสินใจว่าปล่อยเธอไปแบบนั้นก่อนดีกว่า

แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น จากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยาวที่นั่งเหยียดขาอ่านหนังสืออยู่บนม้านั่งข้างระเบียงของห้องที่อยู่ติดกันอย่างไม่เกรงใจใคร

“ฟรองซ์”มือกีตาร์หนุ่มโบกมือเป็นเชิงทัก เมื่อเงยหน้ามองเลขห้องก็พบว่าเป็นห้องเรียนประจำของอัญกับนัท ขณะที่ห้องของหนุ่มม.ห้าคนนี้อยู่ไกลออกไปที่เกือบปลายสุดของทางเดินอีกฝั่ง

“กับวรินน่ะนะ นายต้องสตรองกว่านี้ มั่นใจ เด็ดขาด แล้วลุยไปเลย”“กับแค่จะขอชื่อจริงนามสกุลน่ะนะ”คินส่งกระดาษในมือพร้อมปากกาไปให้“อ้อ มาเพราะแบบนี้นี่เอง ก็แปลกใจอยู่ว่าอย่างนายไม่น่าจะสนวริน สเปคนายน่าจะเป็นแบบอัญมากกว่า...”

“เมาท์เจ้อัญอยู่เหรอ อ้าว! สวัสดีพี่คิน!”เด็กสาวผิวแทนทักเสียงดังทั้งไม่ทันเดินพ้นประตูห้องดี“ก็คุยกันตามประสาผู้ชาย”ฟรองซ์ยักไหล่พลางขยับยิ้มที่มุมปาก“อะไร ๆ พี่ฟรองซ์ อย่ามาทำพี่คินเขาเสื่อมเสียนะ”

“เปล่าสักหน่อย ก็แค่คุยกันเรื่องผู้หญิ...”“ใบสมัคร”คินขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเอกสารที่มือเบสเพิ่งกรอกเสร็จถูกวางลืมไว้บนม้านั่งเป็นที่เรียบร้อย“อ้อ ๆ ”นัทคว้าปากกาไปเขียนทันที ก่อนตะโกนเสียงดังเรียกคนที่อยู่ในห้อง “เจ้อัญ! ออกมานี่ดิ๊”

“อะไร”เสียงทรงพลังดังกลับมา คินมองผ่านประตูเข้าไปเห็นมือกีตาร์สาวเจ้าของสีสันสีแดงหม่นโอบล้อมประกายสีม่วงแกมน้ำเงินงดงามนั่งวุ่นอยู่กับงานที่ดูเหมือนมีกำหนดส่งเร็ว ๆ นี้“มาเขียนใบสมัครวง”นัทตะโกน ดูเหมือนการตะโกนคุยกันจะเป็นเรื่องปกติของห้องนี้ เมื่อสภาพเสียงในห้องก็ดังไม่ต่างกัน จนคินอดแปลกใจไม่ได้ว่าฟรองซ์มาเลือกที่นั่งอ่านหนังสืออะไรตรงนี้

“ก็เขียนไปดิ รู้ชื่อฉันไม่ใช่เหรอ”“พี่คินพี่ฟรองซ์เขาอุตส่าห์มาหา จะไม่ทักกันหน่อยเหรอ ใจร้ายว่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กสาวผมน้ำตาลยาวก็หันมามอง พอเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองก็โบกมือให้ก่อนจะก้มไปทำงานต่อ

“เจ้ แย่ว่ะ!”นัทว่า แต่ก็เขียนชื่ออีกฝ่ายให้ตามคำบอก “ขอโทษด้วยนะพี่คิน เจ้ก็เป็นงี้แหละ”

“ไม่เป็นไร แค่มาขอรายชื่อเฉย ๆ ...”

“จริงเร้อ...”ฟรองซ์ขึ้นเสียงสูง เหล่ตามอง ขณะที่สองมือกลับมาถือหนังสือที่อ่านค้างไว้ดังเดิมแล้ว

“พี่คิน เข้าไปทักเจ้อัญมะ มา เดี๋ยวนัทพาไป” เธอคว้าข้อมือจะลากเขาเข้าไปในห้อง

“ไม่กวนดีกว่า”

เสียงออดดังขึ้น ปิดฉากบทสนทนาพอดี

“บาย นี่คิน กับวรินน่ะ อย่าลืมนะ จะทำให้วรินสนใจได้นายต้องสตรอง” มือเบสเลื่อนขาลงจากม้านั่งหิน พูดพลางเดินจากไป

“ห๊ะ อะไรน่ะ” นัทมองแผ่นหลังร่างสูงที่ไกลห่างออกไปแล้วหันมามองคิน

“ไม่มีอะไรเลยสักนิด” คินถอนหายใจ ยกมือขึ้นเป็นเชิงลา “ไปเรียนเถอะ ตั้งใจเรียนด้วยนะ”

“พี่คิน!”นัทตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่เดินจากไปหลายก้าวแล้ว “ว่าง ๆ ก็แวะมาหานะ”

คินยกมือโดยไม่หันหลังกลับเป็นเชิงบอกว่ารับรู้ ขยับยิ้มบาง ๆ แม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น

“หัวหน้าวง...”วรินเอ่ยพลางกวาดตาอ่านใบสมัครที่ตอนนี้เกือบจะครบสมบูรณ์อย่างละเอียด “ชื่อพี่มอสป้ะ”

“ใช่”มอสคือคนที่รวมพวกเขาให้เป็นวงจนได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นดนตรีไม่เป็น แต่เพราะเป็นกรรมการตึกเลยมาจัดหาตัวแทนลงแข่ง

นักร้องนำเงยหน้าสบตาด้วยแววตาเหมือนกำลังประเมินค่าบางสิ่ง

คินรู้สึกเหมือนกำลังโดนอีกฝ่ายคุกคาม ทั้งที่เธอก็ตัวเล็กเพียงแค่นั้น

“ถ้าพี่มอสไม่ค่อยได้มาคุม พี่คินก็เป็นหัวหน้าไปแล้วกันนะ”

“เอางั้นเหรอ”มือกีตาร์หนุ่มเลิกคิ้ว เมื่อมองดูแล้วยังไงอีกฝ่ายก็เป็นคนที่เหมาะสมกว่าอย่างชัดเจน

“หัวหน้าของทุกทีมเป็นเรื่องสำคัญนะ จะไม่มีหัวหน้ามาคุมไม่ได้” วรินมองด้วยสายตาที่คล้ายจะบอกว่าอย่าถามอะไรมากไปกว่านี้

เมื่อคินไม่ตอบอะไร เธอจึงคว้าใบสมัครไปลงชื่อ

เด็กสาวยื่นเอกสารคืนแล้วเดินจากไปโดยไม่เอ่ยคำลาใด

คินอดรู้สึกประหลาดในใจไม่ได้ ใบสมัครครบถ้วนสมบูรณ์ในมือก็ให้ความรู้สึกแปลกออกไปทั้งที่มันก็เป็นกระดาษใบเดิม

ก้มมองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่ายังเหลือเวลาช่วงพักกลางวันอีกมาก เด็กหนุ่มจึงเดินไปส่งใบสมัครเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จไป

เสียงออดบอกเวลาหมดคาบสุดท้ายดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสำหรับห้องคินที่มากันเพียงเท่านั้นก็ไม่มีการสอนใด นอกจากจะมีอาจารย์จะมานั่งคุม คินรีบเก็บข้าวของลงกระเป๋า

“นายดูมีชีวิตชีวาขึ้นนะ”ซันทักด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากเมื่อเช้า

“ยังไง?”คินชะงักมือที่กำลังยัดหนังสือลงกระเป๋าเล็กน้อย

“ก็...ถ้าเป็นปกตินายคงไม่รีบไปแบบนี้ล่ะมั้ง? หรือตอนที่นายไปหารุ่นน้องหรือตอนพูดถึง ก็ดูนายใส่ใจกว่าปกติ”

“ก็เป็นหน้าที่นี่” มือกีตาร์หนุ่มตอบเสียงเรียบ “เพราะเป็นรุ่นพี่ก็เลยต้องใส่ใจ”

แม้จะตอบไปเช่นนั้น แต่คินเองก็เพิ่งรู้สึกตัว

เสียงเพลงของเขากับอัญเมื่อเย็นวันก่อนดังก้องในหัว ท่วงทำนองที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใต้ท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อย ๆ มีเพียงพวกเขาตรงนั้น และความคิดที่ว่าอยากจะเล่นดนตรีเคียงข้างเธอ...

สิ่งนั้นไม่ใช่ความปรารถนาที่รุนแรงขนาดที่ว่าจะต้องทำให้ได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากจะอยู่ข้างเธอตรงนั้น เล่นบทเพลงที่ก้องดังไม่รู้จบ

หรือบางทีอาจเป็นเพราะ...

“นี่ ซัน มีพระเอกนิยายเรื่องหนึ่งที่ต้องตามหาเสี้ยวจิตวิญญาณคนอื่นมาเติมเต็มตัวเอง พอเจอคนที่ว่าแล้ว คิดว่าต้องทำยังไงให้ได้ชิ้นส่วนนั้นมา”

“ผูกมิตร ทำให้เชื่อใจ หรือไม่ก็ทำให้รัก”ซันตอบทั้งสีหน้าประหลาดใจ “คำตอบนี้ถูกต้องมั้ย”

“ไม่รู้สิ ถ้ารู้แล้วจะมาบอกนะ”คินสะพายกระเป๋าขึ้น

“โชคดีนะ”

ไม่มั่นใจว่าคำอวยพรนั้นมีให้เรื่องไหนกันแน่


การซ้อมของวงเป็นไปอย่างค่อนข้างวุ่นวายทีเดียว พวกเขาซ้อมเพลงที่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ อัญกับวรินคอยบอกนัทกับฟรองซ์ให้แก้ในจุดต่าง ๆ เสมอ ขณะที่ฟรองซ์มักจะมีสายโทรศัพท์เข้าบ่อย ๆ ซึ่งดูเป็นเรื่องงานสำคัญที่จำเป็นต้องรับ จนเมื่อย้ำกับปลายสายไปหลายรอบแล้วว่าไม่สะดวกคุยในช่วงนี้ เขาก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่มุมหนึ่งของห้องไปเลย ขณะที่คินรู้สึกว่าเสียงดนตรีของเขาไม่อาจกลับไปประสานกับอัญได้เหมือนเย็นวันนั้น ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ

เพราะมีเสียงเครื่องดนตรีอื่นอย่างนั้นหรือ? สิ่งนั้นน่าจะทำให้บทเพลงยิ่งสมบูรณ์ขึ้น หรือเพราะเป็นแนวเพลงที่ต่างออกไป? แต่ตอนนั้นทั้งเขาและอัญก็แทบจะเล่นประสานกันในทุกแนวที่ทำได้อยู่แล้ว

หรือเป็นเพราะตอนนั้นอัญมองมาที่เขาเพียงคนเดียว และคินก็สนใจเพียงแค่เสียงของเธอเพียงอย่างเดียว จึงทำให้สร้างทำนองที่เป็นหนึ่งเดียวเช่นนั้นขึ้นมาได้

ท้ายที่สุดวรินที่กลับบ้านเย็นไม่ได้นักก็แยกออกไปก่อน เมื่อขาดนักร้องนำ พวกเขาก็ไม่รู้จะซ้อมต่อยังไง ฟรองซ์เองก็มีงานที่ต้องไปทำด้วย การซ้อมเลยจบลงทั้งอย่างนั้น

คินเหม่อมองอัญกับนัทที่อยู่กับเพื่อนจากอีกวงดนตรีหนึ่ง นัทนั่งตีคาฮอง ขณะที่อัญร้องเพลงพลางนั่งมองมือกีตาร์หนุ่มอีกสองคน พร้อมทั้งคอยบอกว่าต้องแก้จุดไหนยังไง หนักมากเข้าก็คว้ากีตาร์มาเล่นให้ดูเป็นตัวอย่างเลย

ดูเหมือนพวกเธอกำลังมีความสุข

“พี่คิน เป็นไรป่าว ทำไมเงียบจัง”นัทมักหันมาถามเสมอ ส่วนอัญก็เพียงมอง เมื่อเธอยุ่งอยู่กับการสอนเด็กหนุ่มข้างกายมากกว่า

อย่างกับว่าอัญจะเป็นท่วงทำนองที่สนับสนุนใครก็ได้ ขณะที่เพลงของเขานั้น มีแค่เธอเพียงคนเดียวที่จะเติมเต็มตัวโน้ตที่ขาดหายไปได้ ความคิดนั้นทำให้คินรู้สึกโหวงในใจอย่างประหลาด

“...คิน”

ขณะที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองเช่นนั้น น้ำเสียงอ่อนแรงก็ดังขึ้น เรียกให้คินเงยหน้ามอง เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย มือกีตาร์หนุ่มก็ลุกขึ้นประครองทันที

เด็กสาวผมสีน้ำตาลผิวขาวที่บัดนี้สีหน้าซีดเซียวราวแผ่นกระดาษ เจ้าของใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่งรับกับริมฝีปากเรียวที่บัดนี้ซีดลง มือเล็ก ๆ นุ่มนวลคว้าปกเสื้อเขาไว้อย่างอ่อนแรง ขณะที่น้ำหนักตัวถูกเทลงมาจนคินเซไปด้านหลัง

“แคลร์... นี่ แคลร์!”

เธอหมดสติลงในอ้อมกอดเขาทั้งอย่างนั้น

คินประครองร่างเย็นเฉียบให้ค่อย ๆ นอนลงบนตักของเขา เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงดนตรีจากกลุ่มรุ่นน้องข้างกายเงียบหายไปแล้ว แทนที่ด้วยสายตาที่มองมาด้วยความตกใจแทน

“พี่คิน พี่เขาเป็นอะไรหรือเปล่าอะ เป็นโรคประจำตัวไรงี้เหรอ ให้นัทช่วยอะไรมั้ย”

“แคลร์ไม่ค่อยแข็งแรง แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไร”คินตอบพลางมองคนไม่ได้สติด้วยความกังวล พลางนึกทบทวนว่าในเวลาแบบนี้ เขาควรจะทำอะไรยังไง

“พี่คิน หลบหน่อย”อัญหยุดอยู่ตรงหน้าเขาที่พอได้ยินดังนั้นก็ประครองศีรษะแคลร์วางบนพื้นแผ่วเบาแล้วถอยออกมาตามคำบอกรุ่นน้อง “คนเป็นลมแบบนี้ต้องให้หัวอยู่ต่ำกว่าเท้า แล้วก็คลายเสื้อผ้า นัทไปเอาผ้าชุบน้ำมาหน่อย”

มือกีตาร์สาวคว้าเป้แถวนั้นมารองขาแล้วถอดเข็มขัดให้คนหมดสติ

คินมองอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อนัทกลับมาพร้อมผ้าตามคำขอ อัญก็ยื่นผ้าเปียกให้เด็กหนุ่ม เขารับมาอย่างลังเลแล้วค่อย ๆ เช็ดใบหน้างามแผ่วเบา เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งแย่ลงมากกว่าจะดีขึ้น

“พี่คิน เป็นแฟนกับพี่แคลร์เหรอ”