บทที่ 6เช้านี้อากาศสดชื่นแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งจนอดยิ้มออกมาไม่ได้…ซะที่ไหนฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคามันดังเหมือนมีคนพยายามจะทุบบ้านทิ้ง ทั้งที่เป็นวันเสาร์ซึ่งควรจะได้พักผ่อนเต็มที่แท้ๆ กลับต้องมาลุกขึ้นด้วยความรำคาญจนอดหงุดหงิดใจไม่ได้จริงๆ

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดของวันนี้…“ซาโฮะ ตื่นแล้วยัง มาช่วยแม่เตรียมอาหารหน่อย”คุณนายชิรายูกิตะโกนมาจากหน้าห้อง จนฉันเริ่มสงสัยว่าแม่มีญาณทิพย์หรือเรดาร์อะไรรึเปล่า ถึงเรียกใช้งานได้ถูกเวลาตลอด

ถึงจะไม่เต็มใจเลย (แม้แต่นิดเดียว) แต่ฉันก็ต้องยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ไม่อย่างนั้นอีกสักพักคุณนายคงพยายามเคาะประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง ชนิดที่ว่าเสียงฝนนรกแตกนี่คงเทียบไม่ติด

ฉันขยี้หัวเล็กน้อย พลางใช้เท้าเขี่ยแผ่นหนังและของกินที่วางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่วนขยะที่ควรจะเอาไปทิ้งก็จับยัดลงใต้เตียง เพื่อหลบสายตาของแม่ที่ชอบแอบเข้ามาสำรวจห้องตอนฉันเผลอ จากนั้นจึงฝ่ากองเสื้อผ้าไม่ได้ซักที่นอนเรียงตัวกันอยู่เต็มพื้น ก่อนจะเปิดประตูออกไปยังห้องครัวตามคำสั่ง

“มาแล้วเหรอซาโฮะ…ตื่นเช้าๆ แบบนี้ก็ดี ลุกขึ้นมาทำงานบ้านบ้าง เวลาแต่งงานออกไปจะได้ไม่อายใครเขา ว่าเป็นผู้หญิงที่ดีแต่งอมืองอเท้าน่ะ”

คำบ่นยืดยาวดังกล่าวทำคิ้วฉันกระตุก อย่างแรกคือฉันไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาเอง แล้วก็ไม่ได้อยากทำงานบ้านด้วย ส่วนอย่างที่สองคือ…ไม่ใช่ฉันแน่นอนที่จะแต่งงานเร็วๆ นี้น่ะ

“วันนี้จะทำอะไรกินล่ะ”

ตัดสินใจไพล่ไปถามเรื่องอาหารเช้าของวันนี้แทนจะดีกว่า ฉันยังไม่อยากเถียงกับแม่ให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้

“คาเรไรสึ (ข้าวราดแกงกะหรี่)”

แม่ตอบกลับพร้อมกับเริ่มลงมือหั่นผักที่ต้องใช้ ส่วนฉันก็พยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่ พลางเดินไปหยิบหม้อขนาดกลางแล้วเติมน้ำก่อนจะยกขึ้นตั้งไฟ

ถึงจะบอกว่าช่วยเตรียมอาหาร แต่ภารกิจหลักๆ ก็คือการหยิบโน่นหยิบนี่ส่งให้คุณนายชิรายูกิเท่านั้น ฉันกินเก่ง แต่อย่าพูดเรื่องปรุงหรือทำเลย เสียดายวัตถุดิบดีๆ เปล่าๆ

หลักจากง่วนอยู่ในครัวพักใหญ่ ในที่สุดกลิ่นแกงหอมหวนก็ลอยอบอวลไปทั่วบ้าน จนพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องนั่งเล่นต้องเดินเข้ามาดูพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด“วันนี้สาวๆ ทำอะไรกัน”

ฉันขมวดคิ้ว ทำไมลุงนี่ต้องเลือกใช้ศัพท์อย่างกับพวกขี้เมาที่เต๊าะเด็กสาวๆ ตามร้านคาราโอเกะด้วยนะ แต่ดูเหมือนแม่จะไม่คิดแบบนั้น

“ของโปรดพ่อไงล่ะ”

ปากฉันเบ้โดยอัตโนมัติ น่าขนลุกจริงๆ ที่เห็นพ่อแม่ตัวเองมายืนจีบกันต่อหน้าต่อตาแบบนี้

“ซาโฮะไปเตรียมโต๊ะทานข้าวไป”

ดูเหมือนก้างขวางคออย่างฉันจะถูกเตะออกจากสถานที่แห่งนี้โดยอัตโนมัติหลังจากถูกใช้งานเรียบร้อย แต่ฉันก็ไม่บ่นหรอก ถึงไม่ไล่ก็แทบอยากจะวิ่งออกไปให้พ้นๆ ด้วยตัวเองอยู่แล้ว

ฉันเคลื่อนร่างเพรียวๆ ของตัวเองไปยังห้องทานอาหาร เช็ดโต๊ะเล็กน้อยและจัดวางจานแบบลวกๆ ให้คุณนายได้เห็นว่าทำตามคำสั่งเรียบร้อย ถึงอีกสักพักนางจะเดินมาบ่นแล้วจัดใหม่เองก็ตามที

ครู่ต่อมาพวกเราก็พร้อมหน้าพร้อมตาทานอาหารเช้าร่วมกัน การได้กินแกงร้อนๆ ในวันที่อากาศขมุกขมัวน่าหมกตัวแบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว

ทว่าจู่ๆ ฉันก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่ค้างคาใจมาหลายวันแล้วจนต้องถามออกไป“พ่อกับแม่…รู้เรื่องที่หลานชายบ้านสึบุรายะมาเป็นอาจารย์โรงเรียนหนูรึเปล่า”

แล้วสองสามีภรรยาก็ขยับตัวอย่างมีพิรุธตามที่ฉันคาดไว้ไม่มีผิด

นี่มันทฤษฎีสมคบคิดชัดๆ

“งั้นเหรอ…บังเอิญจังเลยนะ พ่อก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”

บังเอิญกับผีน่ะสิ

ไม่น่าเชื่อว่าจนถึงป่านนี้คนตรงหน้ายังเลือกที่จะโกหกอยู่ ดูเหมือนทักษะการแถของฉันจะไม่ได้มาจากคนทั้งคู่แน่ๆ เพราะพ่อกับแม่ทำได้ไม่เนียนเอาซะเลย

“ช่างเถอะค่ะ…ยังไงหนูก็ไม่แต่งอยู่ดี”

ในที่สุดฉันก็วางระเบิดกลางโต๊ะอาหาร คุณและคุณนายชิรายูกิถึงกับวางช้อนลงแล้วหันมาจ้องฉันด้วยสายตาปานจะกินเลือดกินเนื้อ

“ซาโฮะ…พูดอะไรน่ะ”

แม่ถามออกมา ซึ่งมันเป็นคำถามที่ประหลาดมาก เพราะใครๆ ก็น่าจะรู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไรอยู่

“ก็แต่งงานไงคะ…กับผู้ชายคนนั้นน่ะ หนูไม่แต่งหรอก”

ฉันตอบเสียงเรียบ จ้วงข้าวเข้าปากโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ที่ทำสีหน้ากลัดกลุ้มเต็มที

“นี่…สรุปจะไม่เห็นแก่หน้าพ่อกับแม่จริงๆ สินะ”

คุณนายชิรายูกิถอนหายใจ มองฉันประหนึ่งอาจารย์ฝ่ายปกครองมองเด็กมีปัญหาที่พยายามจะโดดเรียน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนหน้าหนาคนนี้สะทกสะท้านแต่อย่างใด

“วิธีตอบแทนบุญคุณมีตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นต้องให้หนูไปแต่งงานเลย”

พ่อกับแม่ลอบมองหน้ากันเล็กน้อย ชั่งใจอย่างหนัก ก่อนจะเอ่ยตอบ

“บ้านสึบุรายะน่ะไม่ได้มีบุญคุณแค่กับพวกเราหรอกนะ…แกก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขามาเยอะเหมือนกัน”

ฉันชะงักทันที เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ สงสัยว่าฉันไปเป็นหนี้บุญคุณบ้านนั้นตอนไหนกัน หรือเขาจะนับว่าเงินที่พ่อแม่ส่งเสียฉันเป็นหนึ่งในนั้น

“หมายความว่าไงคะ”

คนฉลาดจะไม่เดาและคิดไปเอง ฉันเลยถามออกไป

ทว่าคุณนายชิรายูกิไม่ตอบ ร่างโปร่งชันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะสาวเท้าไปที่ห้องนอนตัวเอง ครู่ต่อมาแม่บังเกิดเกล้าก็กลับมาที่โต๊ะทานข้าวพร้อมกับเอกสารจำนวนหนึ่งในมือที่ยื่นใส่หน้าฉัน

“อะไรน่ะ”

ฉันพึมพำถาม พร้อมกันนั้นก็ยื่นมือออกไปรับมา พลันก็รู้สึกได้ว่าดวงตาตัวเองเบิกกว้างจนผิดปกติเมื่อเห็นว่ากระดาษในมือคืออะไร

มันคือเอกสารที่แจ้งว่าฉันได้รับทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ…

“…เป็นไปไม่ได้”

ตรามหาวิทยาลัยที่ประทับหราตรงหน้าซองเป็นของสถานศึกษาที่ฉันเล็งเอาไว้อยู่พอดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยส่งเอกสารหรือใบสมัครไปเพราะรู้ว่าฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย

แล้วใบตอบรับพวกนี้มาได้ยังไงกัน!?

“มาโคโตะคุงน่ะ…เพื่อความฝันของแก เขาลงทุนสมัครและเดินเรื่องทุกอย่างให้หมดเลยนะ ขาดก็แค่จดหมายรับรองจากทางโรงเรียนเท่านั้น เขาบอกว่าถ้าได้มาหลังจากเรียนจบแกก็ไปเรียนที่โน่นพร้อมทุนสนับสนุนเต็มจำนวนได้ทันทีเลย”

ฉันอ้าปากค้าง ไม่ใช่เพราะซาบซึ้ง หรือเพราะตกใจ แต่เป็นเพราะบรรลุถึงสัจธรรมบางอย่าง

นี่มันแผนการที่ผู้ชายคนนั้นวางไว้ชัดๆ !!

“…หนูขอตัวก่อนนะคะ”

ฉันชักสีหน้าเครียด ยอมรับว่าคราวนี้เครียดจริง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วสาวเท้ากลับไปยังห้องของตัวเอง หยิบโทรศัพท์มือถือแล้วกดโทรออกไปยังเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ว่า ‘ตัวอันตราย’ ทันที

หลังจากรอสายอยู่พักหนึ่ง เป้าหมายก็กดรับพร้อมกรอกเสียงกลับมา

“ซาโฮะจัง…ว่ายังไงล่ะ”

ฉันสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเยาะเย้ยจากผู้ชายที่ตีสองหน้าได้เก่งเทียบเท่าฉัน

ไม่สิ…บางทีหมอนี่อาจจะเก่งกว่าด้วยซ้ำ

“เรื่องทุนนี่มันยังไง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่คะ”

แม้จะโมโหมาก แต่ฉันก็ต้องรักษามารยาทเอาไว้ ด้วยการเรียกเขาว่า ‘คุณ’ และเติม ‘คะ’ ลงไปท้ายประโยค

“อ๋อ…ก็ความฝันของซาโฮะจังไง ผมช่วยทำให้มันสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ…ถึงจะไม่ใช่ที่ซูรินามก็เถอะ”

ฉันเม้มปาก หมอนี่กำลังกลั้นหัวเราะแน่นอน แล้วลางสังหรณ์ก็เริ่มกรีดร้องว่าตัวเองกำลังจะตกที่นั่งลำบาก

ซึ่งจริงๆ อาจจะเริ่มตั้งแต่วันที่ฉันยอมตกปากรับคำจะไปดูตัวแล้วก็ได้


“...ที่ว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งน่ะ หมายความว่าไง”

เอาล่ะ ตอนนี้ฉันเริ่มไม่รู้จักมารยาทแล้ว รู้เลยว่าตัวเองเสียงเย็นมาก

“อีกครึ่งก็…จดหมายรับรองจากทางโรงเรียนไงล่ะ แต่หลักๆ ก็คือผมนี่แหละที่เป็นคนเขียน แล้วก็พวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนิดหน่อย”


ฉันไม่กล้าส่องกระจก กลัวจะตกใจที่เห็นว่าตัวเองหน้าซีดขนาดไหน

เท่ากับว่าความฝันของฉันจะเป็นจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ชายคนนี้ล้วนๆ

“…ฉันจะปฏิเสธทุนนั่นค่ะ”

ใจกล้ามาก พูดออกไปได้ยังไง แต่เสียงนั้นก็แผ่วเบาเหลือเกิน

และฉันมั่นใจว่า สึบุรายะ มาโคโตะ ไม่ซื้อคำพูดนั้นแน่ ขนาดตัวฉันเองยังไม่เชื่อเลย


“ซาโฮะจังไม่ทำแบบนั้นหรอก”

นั่นไง คิดไว้ไม่มีผิด

“ถ้าต้องใช้วิธีการแบบนี้เพื่อให้ได้ทุนมา…ฉันไม่ไปเรียนดีกว่าค่ะ”


เป็นความจริงถึง 50% ทีเดียว

เพราะฉันจะยกเลิกทุนนี้ แล้วหาทางสมัครใหม่เองโดยไม่ยืมมือหมอนี่ไงล่ะ

แต่ผู้ชายคนนี้ฉลาดมาก สมกับที่จบมหาวิทยาลัยโตเกียว สมกับที่เป็นหลานชายเจ้าของบริษัทใหญ่ เสียงทุ้มเอ่ยดักฉันอย่างรวดเร็ว


“ถ้าคิดจะยกเลิกแล้วสมัครทีหลังน่ะ…ไม่ได้หรอกนะครับ กว่าจะได้ทุนมาก็ไม่ใช่จะผ่านกันง่ายๆ ถึงซาโฮะจังจะเป็นคนเก่ง แต่บอกปฏิเสธไปแล้วทางมหาวิทยาลัยเขาจะติดบัญชีเอาไว้ ว่าเป็นรายชื่อที่มีประวัติ”

ถ้าเปรียบเป็นหนังจีนกำลังภายใน ตอนนี้ฉันมั่นใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ที่ถูกโจรชั่วใช้วิชามารสะกดจุดสะกัดกั้นการเคลื่อนไหว เพราะร่างกายตอนนี้มันชาเหลือเกิน

“…คุณทำเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน”

ตัดสินใจถามออกไปแบบนั้น ทั้งที่ความจริงอยากจะถามว่า ‘ประสาทรึเปล่า? ถึงได้พยายามทำเรื่องบ้าบอพวกนี้เพื่อมาแต่งงานกับผู้หญิงนิสัยทรามอย่างฉัน’


คนหน้าหล่อถอนหายใจเสียงหนัก จงใจให้ฉันรู้ว่าเขา (เสแสร้ง) ทำเป็นเหนื่อยใจ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุขุม

“จริงๆ เรื่องมันก็ง่ายนิดเดียว ถ้าแต่งงานกับผม…ซาโฮะจังก็ได้ทำความฝัน ผู้ใหญ่จะได้สบายใจ ผมเองก็จะได้ทำหน้าที่หลานที่ดีด้วย เห็นมั้ยว่า วิน-วิน กันทุกฝ่าย”

แล้วตอนนี้ฉันก็เริ่มตกใจตัวเอง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้กำลังพูดเริ่มสมเหตุสมผล

บ้าไปแล้ว ลัทธิเสียสติกำลังลามมาสู่ฉันหรือไงกัน


“…ฉันจะต้องไปเรียนต่อหลังจบ ม.ปลายปี 3 แต่เราต้องแต่งงานกันอย่างน้อย 3 ปี มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”

สึบุรายะ มาโคโตะนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ

“ถ้าเป็นเหตุผลด้านการศึกษา ผมคิดว่าคุณปู่คงไม่ขัดหรอก พูดง่ายๆ ก็คือพวกเราจดทะเบียนกันไว้ 3 ปี หลังจากนั้นค่อยหย่าไงล่ะ…เรื่องพฤติกรรมการอยู่ร่วมกันน่ะ มันเป็นข้อตกลงที่พวกเราต้องตั้งกันขึ้นมาเองอยู่แล้ว”


ฉันเลิกคิ้วขึ้น สรุปได้ว่าพวกเราสมรสกันในทางนิตินัยเท่านั้นสินะ

เมื่อคิดทบทวน ดูเหมือนจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้รับความเสียหายสักเท่าไหร่ ได้ทำตามความฝัน มีเงินเก็บหลักล้านในบัญชี แถมหมอนี่ก็เคยสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินอีกด้วย

“แสดงว่าฉันกับคุณ…จะมีข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันใช่มั้ยคะ”


ฉันลองถามหยั่งเชิง ในเมื่อถอนตัวออกจากเกมไม่ได้ ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดและเป็นผู้ชนะก็คือต้องเป็นฝ่ายคุมเกมเท่านั้น นั่นคือความคิดที่อยู่ในหัว

“…ครับ ซาโฮะจังอยากเสนออะไรล่ะ”

ฉันสูดลมหายใจเข้า ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออก ก็เลยตอบไปตรงๆ


“ฉันจะลองร่างข้อตกลง ไปเสนอคุณดูก็แล้วกัน”

“ครับ…แบบนั้นก็ได้”

แล้วก็เกิดความเงียบขึ้นในอากาศครู่ใหญ่ จนในที่สุดอาจารย์คณิตศาสตร์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นอีกรอบ

“ขอถามเพื่อยืนยันอะไรหน่อยได้มั้ยครับ…สรุปคือพวกเราจะแต่งงานกันแล้วสินะ”


ฉันทำสีหน้าพะอืดพะอม แต่โชคดีที่เขาไม่เห็น

คำว่า ‘พวกเราจะแต่งงานกัน’ มันช่างน่าขนลุกสะอิดสะเอียนเหลือเกิน

แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของตัวเอง ดูเหมือนทางเลือกที่ดีที่สุดจะมีเพียงอย่างเดียว

และแล้วในที่สุด ชิรายูกิ ซาโฮะ วัย 17 ปี ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายทางอ้อมแบบจำใจ

“ค่ะ…ฉันจะแต่งงานกับคุณ”

ตอบออกไปแบบงงๆ โง่ๆ

เพราะตอนนั้นฉันกำลังสับสนกับตัวเองจริงๆ

และต่อมาถึงได้รู้เพิ่มว่ามันเป็นการตัดสินใจโง่ๆ ด้วย