บทที่ 7

การแต่งงานของพวกเราเรียบง่ายมาก หรือพูดให้ถูกคือไม่ได้จัดพิธีแต่งงานด้วยซ้ำ

หลังจากฉันตกปากรับคำยอมตกหลุมพรางของหลานชายบ้านสึบุรายะ วันถัดมาพวกเราก็จดทะเบียนสมรสกันทันที ตอกย้ำความจริงที่ว่าคนที่มีปัญหากับเรื่องนี้มีแต่ฉันเท่านั้น คนอื่นเตรียมพร้อมกันมาตั้งนานแล้ว

และหนึ่งสัปดาห์ต่อมา…ซึ่งก็คือวันนี้ เป็นวันที่ ชิรายูกิ ซาโฮะ จะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแม่บ้านโดยสมบูรณ์ เพราะนี่คือวันขนย้ายสัมภาระเข้าเรือนหอนั่นเอง

“ดูแลมาโคโตะคุงดีๆ นะซาโฮะ อย่าให้เสียชื่อบ้านชิรายูกิล่ะ”

จากคำพูดของแม่ ฟันธงได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงฉันเหลือเกิน

แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อ้อมแอ้มยิ้มตอบไป ความจริงก็คือฉันแทบจะไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน เพราะมัวแต่ร่างสัญญาการอยู่ร่วมกันกับผู้ชายหน้าตาดีที่มีใจเหมือนมาร และการปลีกตัวเพื่อวิ่งเข้าหาที่นอนก็เป็นสิ่งที่ฉันโหยหามากที่สุดในตอนนี้

“…พอเห็นแกแต่งงานแบบนี้ คนเป็นพ่อก็ทำใจยากเหมือนกันนะเนี่ย”

คำพูดจากหัวหน้าครอบครัวทำให้คิ้วฉันกระตุก

แล้วมันความคิดของใครมิทราบ…ที่ทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากแบบนี้น่ะ

“งั้นไปหย่าเลยดีมั้ยคะ”

น่าแปลกที่พอฉันพูดแบบนั้นออกไป คนที่ทำท่าคร่ำครวญเมื่อครู่ก็รีบเปลี่ยนสีหน้ากะทันหันทันที เอาเถอะ ถึงทักษะการแถจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรื่องตีสองหน้านี่อาจจะเป็นความสามารถที่ตกทอดทางพันธุกรรมก็เป็นได้

“แล้วนี่มาโคโตะคุงจะตามมาเมื่อไหร่ล่ะ”

คุณนายชิรายูกิถามขึ้นบ้าง พยายามทำเป็นไม่สนใจคำพูดเมื่อกี้นี้ของฉันด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่รู้สิคะ เห็นว่าติดธุระถึงบ่ายๆ…แต่ไม่มาก็ดีเหมือนกัน หนูจะได้ยึดบ้าน”

และก็เป็นดังคาด ฝ่ามืออรหันต์ของคุณนายตรงเข้าฟาดแขนของฉันทันที บางทีแม่อาจจะลืมไปแล้วว่าลูกสาวควรมาก่อนลูกเขย เพราะดูเหมือนนางจะลำดับความสำคัญแบบผิดๆ อยู่

ถึงแม้จะเป็นวันเข้าหอวันแรก แต่ดูเหมือนฝ่ายหมอนั่นจะติดภารกิจอะไรบางอย่าง เลยแจ้งไว้ว่าจะตามมาในภายหลัง ปล่อยให้ฉันขนสัมภาระและมาที่บ้านนี้เพื่อจัดการข้าวของก่อน

“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ไปก่อนนะ แล้วเย็นนี้จะโทรมาหา”

พ่อหันมาบอกฉันพอเป็นพิธี ซึ่งคนที่ใกล้จะฟุบหลับเต็มทีอย่างฉันก็พยักหน้ารับส่งๆ ไป ก่อนจะหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า 2 ใบที่วางอยู่ข้างตัวแล้วเปิดประตูเข้าบ้านซึ่งตอนนี้กลายเป็นเรือนหอของฉันกับอาจารย์คณิตศาสตร์

ภายในบ้านตกแต่งแบบเรียบง่าย อากาศปลอดโปร่งและค่อนข้างสบายตา เฟอร์นิเจอร์ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยถูกจัดวางพร้อมใช้งานเรียบร้อย ดูเหมือนว่าฝ่ายสึบุรายะจะเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ซึ่งฉันเองก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะจัดแบบไหนฉันก็ทำรกได้ทั้งนั้น

ฉันเดินเข้าไปในห้องรับแขก พยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นทีวีขนาดใหญ่ที่มีหน้าจอระดับ Full HD จากนั้นจึงโยนกระเป๋าที่ถือมาลงบนพื้นแล้วเดินสำรวจบ้านอีกเล็กน้อย

ถึงจะเป็นที่พักอาศัยที่มีขนาดไม่ใหญ่โตมาก แต่ก็ต้องบอกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ใช้สอยมีเพียงพอต่อความต้องการทีเดียว ทว่าที่ถูกใจฉันมากที่สุดก็คือที่นี่มีห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งนั่นหมายความว่าฉันไม่ต้องร่วมห้องกับเพชฌฆาตที่ชื่อมาโคโตะยังไงล่ะ

หลังจากสำรวจไปทั่ว ฉันก็กลับมายืนกอดอกที่ใจกลางของบ้าน ชั่งใจอย่างหนักว่าจะเลือกห้องนอนห้องไหนดี แต่ดูเหมือนห้องที่อยู่ใกล้ห้องน้ำจะมีพื้นที่กว้างขวางและเตียงก็ดูน่านอนกว่าเล็กน้อย ฉันเลยลงความเห็นว่าจะลงหลักปักฐานที่นั่น

ตอนนี้ร่างกายล้าๆ ของตัวเองก็เลยมากองอยู่บนเตียงคิงไซส์ที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้ม ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในที่สุดฉันก็หลับไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่สามีตามกฎหมายมาถึงบ้าน

พร้อมกับหอบเรื่องเซอร์ไพรส์มาให้ฉันเป็นกระบุง

=======================================================

“…ชิรายูกิ ซาโฮะ”

เสียงทุ้มคุ้นหูลอยแว่วๆ มาเข้าโสตประสาท แต่ฉันที่กำลังหลับอย่างมีความสุขเลือกที่จะไม่ใส่ใจและพลิกตัวหนีพร้อมกับเอาผ้าห่มปิดหน้า

“…ตื่น” เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มีกระแสความไม่พอใจแฝงมาอย่างเห็นได้ชัด

“ฉันบอกให้ตื่น” และครั้งนี้ไม่ว่าเปล่า ฉันรู้สึกได้ว่าคนข้างๆ กำลังเขย่าปลุกตัวอย่างแรง

“…รู้แล้วๆ”

ฉันจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะงัวเงียลืมตาขึ้นมา ถึงไม่เห็นหน้าก็พอจะรู้ว่าใครมันบังอาจมารบกวนการนอนอันแสนสงบสุข

เป็น สึบุรายะ มาโคโตะ ไม่ผิดตัวอย่างที่คาดไว้

แต่ที่ผิดคาดก็คือหมอนี่ไม่ได้เขย่าปลุกฉัน…แต่ใช้เท้าถีบกระทุ้ง

“นี่…จะไม่เสียมารยาทไปหน่อยเหรอคะ”

ฉันรู้สึกได้ว่าขณะที่ถามคิ้วก็กระตุกไปด้วย มนุษย์เพศชายคนไหนบนโลกมันปลุกผู้หญิงด้วยเท้ากันบ้าง!? แถมยังเป็นคนที่มีภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยแบบนี้อีก

บางสิ่งในตัวตะโกนบอกฉันว่าผู้ชายคนนี้อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

“คนที่เสียมารยาทคือซาโฮะจังต่างหาก นี่มันห้องผม แล้วนี่ก็เตียงผม กลับไปอยู่ที่ของตัวเองซะ”

ฉันเลิกคิ้วขึ้น หมอนี่มาทีหลังแท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาเลือกห้องนอนก่อนฉัน

“ฉันมาถึงก่อน ฉันก็ต้องได้เลือกห้องนอนก่อนสิ นายนั่นแหละไปนอนห้องโน้น”

โดยไม่รู้ตัว ความสุภาพของบทสนทนาระหว่างพวกเราลดลงเรื่อยๆ จนมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ ดูเหมือนอาจารย์คณิตศาสตร์จะประหลาดใจเช่นกัน ที่อยู่ๆ ความเถื่อนถ่อยของฉันก็เพิ่มขึ้นกะทันหัน

“เธอ…พูดไม่เพราะเลยนะ”

ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับเอ่ยตำหนิฉันด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ สรรพนามที่เขาใช้ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ไม่มีคำว่า ‘ซาโฮะจัง’ ออกจากปากหมอนี่อีกต่อไป

แต่นั่นหาได้ระคายเคืองฉันไม่ คนๆ นี้จะได้รู้สักที ว่าการแต่งงานกับฉันมันไม่ง่ายนักหรอก

“ฉันไม่พูดสุภาพกับคนที่เอาเท้าถีบคนอื่นเพื่อปลุกหรอกนะ”

และวินาทีนั้นเราทั้งคู่ก็ต่างรู้ ว่าหน้ากากของแต่ละคนเริ่มถูกถอดออกแล้ว

“…ออกไป”

ร่างสูงเอ่ยเสียงเฉียบพลางชี้นิ้วไปยังทิศของประตู แต่ฉันเพียงยักไหล่เล็กน้อย

“ฉันบอกให้ออกไป”

อาจารย์คณิตศาสตร์พูดย้ำอีกครั้ง ตอนนี้เสียงของเขาเย็นจนเกือบจะติดลบอยู่แล้ว

ทว่านอกจากความเสแสร้งแล้ว ทักษะการกวนประสาทของฉันก็ไม่เป็นรองใคร แน่นอนว่า ชิรายูกิ ซาโฮะ ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ทั้งยังล้มตัวลงนอนแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงตัดขาดการรับรู้จากโลกภายนอกอีกด้วย

“…จะไม่ออกไปใช่มั้ย”

สึบุรายะ มาโคโตะ ถามเสียงเรียบ แต่ฉันไม่ตอบ แถมยังเปลี่ยนท่านอนให้กินเนื้อที่บนเตียงมากที่สุดอีกด้วย

“ได้ งั้นเธอก็นอนห้องนี้แล้วกัน”

ประโยคดังกล่าวทำฉันมุ่นคิ้วทันที นี่หมายความว่าหมอนี่ยอมยกห้องให้ฉันแล้วสินะ

หากแต่วินาทีต่อมาฉันก็พบว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ เพราะอาจารย์คณิตศาสตร์เดินตรงมาที่เตียง ก่อนจะทิ้งร่างสูงซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าที่คิดไว้ลงมา…ทับฉัน

“ทำบ้าอะไรน่ะ”

ฉันดึงผ้าห่มออกทันทีพร้อมกับยิงคำถาม ตอนนี้สามีตามกฎหมายอยู่ในท่าเอนหลังทับฉันประหนึ่งฉันเป็นเบาะรองนั่ง แถมเจ้าตัวยังเอาแขนสองข้างซ้อนรองหัวเอาไว้ด้วย

“ก็เธอยืนยันว่าจะนอนที่นี่ ส่วนฉันก็ไม่อยากได้ห้องโน้น…เพราะงั้นก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ”

หลังจบประโยคฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวเองตาเหลือกจนแทบจะถลนออกมาเบ้า พลางพยายามผุดลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ทำไม่ได้สักทีเพราะมีวัตถุตัวปัญหาขัดขวางอยู่

“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

จู่ๆ ก็กลายเป็นฉันที่เป็นฝ่ายถูกกวนประสาท ไม่ว่าเปล่าฉันยังเสียมารยาทแบบสุดๆ ด้วยการเอามือดันหัวหนักๆ ของคนอายุมากกว่าออกจากตัวเองจนเขาตวัดสายตามามองด้วยความโมโห

“กล้าดียังไงเอามือสกปรกๆ มาจับหัวฉัน”

ฉันยอมรับว่าตัวเองซกมก แต่พอออกจากปากผู้ชายคนนี้กลับยิ่งทำให้ฉันดูต่ำเตี้ยเรี่ยดินเปรียบปานตัวเชื้อโรคซะอย่างนั้น

“ก็นายเอาหัวสกปรกๆ มาทับฉันนี่”

เออ เอาสิ ฉันไม่ยอมโดนด่าอยู่คนเดียวหรอก

“ฉันสระผมทุกวัน ปากเสีย”

ดูเหมือนจะผิดประเด็นไปหน่อย แต่ฉันก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“ฉันก็ล้างมือทุก…”

เดี๋ยวก่อน จู่ๆ ก็เพิ่งนึกได้ ว่าฉันไม่ได้ล้างมือแบบถูกสุขอนามัยทุกวัน

“ลุกออกไปเถอะค่ะ ฉันหนัก”

ก็เลยเปลี่ยนคำตอบกะทันหัน พร้อมกับใส่ความสุภาพลงไปเล็กน้อย

“ฉันจะลุก…ก็ต่อเมื่อเธอย้ายไปนอนห้องโน้น”

แล้วการต่อรองของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ให้ตายเถอะ มีคู่แต่งงานใหม่ที่ไหนเขาทะเลาะกันเรื่องแย่งเตียงนอนแบบคู่เราบ้างรึเปล่านะ

แต่ในเมื่อฉันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่มีทางที่ตัวเองจะยอมนอนร่วมห้องกับหมอนี่ ในที่สุดก็เลยต้องจำใจยอมรับข้อเสนอดังกล่าว

“เข้าใจแล้วๆ ฉันไปนอนห้องโน้นก็ได้”

ตอบออกไปพลางชักสีหน้าหงุดหงิด

สึบุรายะ มาโคโตะทำสีหน้าพึงพอใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นจากร่างของฉันซึ่งกำลังจะหายใจไม่ออกตาย เมื่อเห็นดังนั้นฉันที่เพิ่งได้รับอิสระก็รีบชันตัวขึ้นจากเตียงทันที

“ถ้าพูดรู้เรื่องตั้งแต่แรกเรื่องก็จบแล้วแท้ๆ”

เสียงทุ้มเอ่ยแซะ พลางหัวเราะเยาะเย้ยฉันที่เป็นฝ่ายจนมุม

“ก็ถ้าคนบางคนเป็นสุภาพบุรุษมากพอ…เรื่องก็คงจบเร็วกว่านี้เหมือนกัน”

ปากพล่อยๆ ก็ดันหลุดคำที่อยู่ในหัวออกไปซะงั้น ส่งผลให้ใบหน้าคมคายตวัดมามองฉันอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นร่างสูงก็สาวเท้ามาใกล้จนฉันต้องถอยร่นพลางตั้งท่าระแวดระวัง

“ก็ถ้าผู้หญิงบางคนทำตัวเป็นกุลสตรี…ฉันก็คงจะพอทำตัวเป็นสุภาพบุรุษได้อยู่หรอก”

ดี หลอกด่าฉันไปอีก

“ก็ฉันไม่คิดนี่…”

‘ว่าจะมาเจอมนุษย์ตี 2 หน้าจอมสร้างภาพหลอกลวงชาวบ้านไปวันๆ ว่าตัวเองเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแต่จริงๆ แล้วมารยาททรามไม่น้อยไปกว่าฉันแบบนี้’

…คือคำที่อยู่ในหัว แต่คนที่ฉลาดพอแบบฉันจะไม่พูดมันออกไป

“ไม่คิดอะไร?” มาโคโตะถามพลางชักสีหน้าสงสัย

“ไม่คิดว่า…ห้องนี้มีคนจองไว้แล้วน่ะสิ”

ทักษะการแถอันยอดเยี่ยมถูกนำมาออกมาใช้อีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเพราะคนตัวสูงก็พยักหน้าเล็กน้อยแบบไม่ติดใจ

“ดี…ตอนนี้รู้แล้วก็รีบออกไปซะ”

อาจารย์คณิตศาสตร์เอ่ยสั่งอีกครั้ง

ฉันพ่นลมหายใจ แต่ก็ตัดสินใจว่าจะยอมเดินออกจากห้องนั้นไปเพราะรู้สึกว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ สู้รบปรบมือไปตอนนี้จะได้ไม่คุ้มเสียเปล่าๆ

“ทำหน้าตาไม่พอใจ? มีปัญหาอย่างนั้นเหรอ”

แต่หมอนี่ก็ไม่วายหาเรื่องต่ออีก จะเอายังไงกับฉันกันแน่

“เปล่าค่ะ”

ฉันฉีกยิ้มหวานที่ใครๆ ก็มองออกว่าเป็นของปลอม จากนั้นก็สาวเท้าออกไปจากห้องทันที ทว่าก็ยังไม่วายได้ยินเสียงไล่หลังที่จงใจส่งมากวนประสาทโดยเฉพาะ

“งั้นเหรอ…เห็นทำหน้าไม่พอใจ นึกว่าอยากนอนห้องนี้กับฉันซะอีก”

ฉันเบ้ปาก ทำสีหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาทันทีพร้อมกับปรายสายตาไปมองสามีตามกฏหมายเล็กน้อย กรอกตาให้เขาเห็นเบาๆ

บ้ารึเปล่า ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนั้นมาจากไหนกัน