ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น จนเป็นสาว(แก่) ดิฉันเป็นเป็นนักเล่นโยโย่เอฟเฟคตัวแม่มาตลอดค่ะ เพราะการขาดความรู้ในเรื่องการลดน้ำหนักที่ถูกต้องและดิฉันไม่อยากให้สาว ๆ ต้องมาเผชิญชะตากรรมที่ต้องระวังพุงอยู่ตลอดเวลาแบบดิฉัน ดังนั้นดิฉันขอเม๊าหมดเปลือกไปเลยค่ะก่อนที่ความอยากผอมจะทำลายชีวิตประจำวันของสาว ๆ ลากยาวไปทั้งชีวิต

1. รู้จักกับ "โยโย่เอฟเฟค" กันก่อนดีกว่า

รูปภาพ:http://sf1.mariefranceasia.com/wp-content/uploads/sites/7/2014/11/yoyo-658x410.jpg

Yo-yo Effectคืออาการที่น้ำหนักของเราดีดขึ้นหลังจากที่เราลดน้ำหนักสำเร็จค่ะ  ซึ่งเป็นผลพวงจากการลดน้ำหนักที่ผิดวิธี  ไม่ใช่แค่การทานยาลดน้ำหนักเท่านั้น การทานอาหารแบบไดเอทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งดแป้ง งดน้ำตาล อดมื้อทานมื้อ หรือลดปริมาณอาหารเหลือเท่าเครื่องเซ่น ก็เป็นสาเหตุค่ะ

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น :ร่างกายของคนเราฉลาดค่ะ มันมีโปรแกรมที่ทำให้เราอยู่รอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ประมาณว่า  ปกติสาว ๆ ทานอาหารใน 2000 kcal ต่อวัน   จากนั้นสาว ๆ เริ่มไดเอ็ดโดยการทาน  500 Kcal ต่อวัน  ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ราวกับอยู่ในโลกยุคล่มสลายหาของกินไม่ได้   ร่างกายจะเริ่มจดนำการกินนี้  และปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานให้น้อยลงแต่กักตุนเป็นไขมันมากขึ้น  เมื่อสาว ๆ ผอมได้ดั่งใจและกลับมาทานปกติ ชั้นไขมันของสาว ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตัวแทบแตกเลยค่ะ

ดังนั้นสูตรอาหารลดน้ำหนัก 3 วัน,  7 วัน,  100 วัน ที่แชร์กันในอินเตอร์เน็ตคือช่องทางหนึ่งสู่การเป็นนักเล่นโยโย่มืออาชีพค่ะ  และโยโย่เอฟเฟคเมื่อเป็นแล้วหายยาก หรือไม่หายเลยนะคะ  ที่น่ากลัวที่สุดคือการกินของเราจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล ดิฉันพูดเลยค่ะ

2. อย่าลดน้ำหนักหากยังไม่บรรลุนิติภาวะ!?!

รูปภาพ:http://s2.favim.com/orig/30/blonde-cute-fistic-guy-handsome-Favim.com-247679.jpg

อ่านแล้วคงงง ๆ ใช่ไหมคะ ว่ามันเกี่ยวข้องกันได้ยังไง  อันนี้เจ๊ขอเตือนน้อง ๆ ที่อายุยังไม่ 18 ทั้งหลายเลยเลย ว่าถ้าหนูพยายามจะลดน้ำหนักอย่างหนักหน่วงโดยเฉพาะการควบคุมอาหาร  หนูจะกลายเป็น "ฮอบบิท" นะลูก... แล้วถ้าเบ้าหน้าลูกไม่สวย หนูจะกลายเป็น "กอลั่ม" นะคะ

ในช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโต และต้องการอาหารที่เพียงพอค่ะ การลดน้ำหนักจำเป็นต้องลดอาหารด้วย นั่นอาจจะทำให้ร่างกายของเราเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จากที่ควรจะสูงสวยระหงแบบติช่า The Face จะกลายเตี้ยสั้นเอา  น้ำหนักมันลดกันได้ แต่ความสูงมันต้องไปทำศัลยกรรมนะคะ  ดังนั้นคำนึงถึงอนาคตกันให้ดีค่ะ

อยากให้คิดเสียว่าชีวิตช่วงนี้คือช่วงที่ต้องสั่งสมบุญค่ะ ทานโปรตีน ทานผัก หลีกเลี่ยงของทอด ทานแป้งพอประมาณ แล้วออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อหุ่นดี ๆ ในอนาคต เมื่อกลายร่างเป็นสาวเต็มวัยค่ะ  อ่อ! เกือบลืมไปคนสูงลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าคนเตี้ยนะคะ บอกไว้ก่อน!!ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวจะบอกในหัวข้อต่อ ๆ ไปค่ะ

3. อ้วน หรือ ย้วย

รูปภาพ:http://alterego.uamodna.com/assets/articles/image/qk3tovup/fullsize.jpg

การทานอาหารที่มากเกินความจำเป็น ร่างกายจะนำพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นไปเปลี่ยนเป็นไขมันทั่วร่างกายค่ะ ย้ำว่าทั่วร่างกาย แต่ก็อาจจะไม่ได้สม่ำเสมอนัก แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลค่ะ

สาว ๆ บางคนเห็นแขนตัวเองห้อย ๆ  ขาใหญ่ ก็พาลคิดว่าตัวเองอ้วน โหมลดน้ำหนักเกือบตาย แต่หนังตรงนั้นก็ยังห้อยเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะกล้ามเนื้อของเราขาดความแข็งแรงค่ะ ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงไม่สามารถไปแก้ปัญหาในจุดนี้ให้ได้ สิ่งที่ควรทำคือการสร้างกล้ามเนื้อ ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งค่ะ และการเวทเทรนนิ่งก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกค่ะดังนั้นเช็คให้ดีค่ะ ว่าจริง ๆ แล้วเราอ้วน หรือย้วย อันนี้ดูได้จากน้ำหนักค่ะ ถ้าน้ำหนักไม่มากเกินไป (ไม่เกิน ส่วนสูง-110) ก็อาจจะเข้าข่ายย้วยค่ะ

4. ควรทานกี่แคลลอรี่ต่อวัน !!

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/7e/10/6d/7e106d67c9f9e917d8def0a440d2ba19.jpg

จากที่เราเคยเรียนมาว่า ผู้หญิงต้องการพลังงาน 1,500 kcal ต่อวัน ส่วนผู้ชายต้องการ 2,000 kcal ต่อวัน  ลืมมันไปเลยค่ะ เพราะมันเป็นการประมาณแบบคร่าว ๆ เหมารวม   ความต้องการพลังงานของเราขึ้นอยู่กับขนาดร่างกาย และกิจกรรมที่ทำต่อวันด้วย ถ้าทาน 1,500 kcal แล้วไปวิ่งมาราธอน ก็จองถังออกซิเจนได้เลยค่ะ  เรามาดูการคำนวนดีกว่า

1. คำนวณน้ำหนักที่เหมาะสมของตัวเองก่อน

น้ำหนักที่โอเค (กก.)  =  ส่วนสูง(เมตร)ยกกำลัง2  x  21

*สำหรับ 21 สามารถเปลี่ยนเป็น 18.5 - 23.4 ได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการผอมมากผอมน้อย   อันนี้เป็นสูตรที่มาจากการกลับการคำนวน BMI ค่ะหรือถ้าขี้เกียจคำนวนก็เบลอ ๆ เป็นค่ามาตรฐานอย่างส่วนสูง(ซม.) - 110  = น้ำหนักที่คุณคู่ควร (กก.)

ตัวอย่าง :  แอนนา เบลล์สูง 170 ซม.  น้ำหนักของตุ๊กตาแอนนาเบลคือ 170 -110 = 60 กก.

รูปภาพ:http://www.meepanda.com/wp-content/uploads/2015/03/1554341_10151916479343597_2101736283_n.jpg

2. คำนวนแคลลอรี่ที่ต้องการต่อวัน จากน้ำหนักที่เราต้องการ

ชาย

= (10 x น้ำหนัก (กก.))    +    (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร))     -    (5 x อายุ)   +    5

หญิง

= (10 x น้ำหนัก (กก.))    +   (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร))     -    (5 x อายุ)   -   161

* มันคือการคำนวนโดยสูตร

REE (R

esting Energy Expenditure

) ค่ะ พลังงานพื้นฐานของร่างกายขณะพัก  นั่นหมายความว่ายังไม่จบค่ะ เราต้องเอาค่านี้มาคูณกับกิจกรรมที่ทำอีก ซึ่งในที่นี้เราจะ

คูณ

1.2

ซึ่งเป็นค่าของกิจกรรมทำงานออฟฟิศซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง

ตัวอย่าง

แอนนา เบลล์ สูง 170cm.

(หุ่นนางแบบสุด ๆ)

ควรจะมีน้ำหนัก 60 กก.  และอายุของนาง 25 ปี

สูตร


หญิง

= (10 x น้ำหนัก (กก.))  + (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร))  -  (5 x อายุ) - 161

แทนค่า

(10 x 60) + (6.25x170) - (5x25) - 161   = 1376.5


หมายความว่าแค่นอนเฉย ๆ ดิฉันต้องการพลังงาน 1376.5 Kcal ค่ะ แต่ถ้าจะต้องทำงาน ซึ่งก็คือนั่งโต๊ะ เล่นเน็ต ทำงานออฟฟิช ต้อง x 1.2

แอนนา เบลล์ต้องการพลังงาน 1376.5x1.2 =

1651.8 Kcal

ค่ะ

นี่คือจำนวนแคลลอรี่ที่ดิฉันไม่ควรทานเกินในแต่ละวัน  แต่อย่ามากเกินไปเพราะอาจจะทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟคได้ค่ะ

5. นับแคลอรี่ในแต่ละวัน

รูปภาพ:https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/f2/12/b4/f212b40a0a527ec7821e519772f43756.jpg

หลาย ๆ ตำราพยายามบอกให้เราอย่าคำนวณแคลอรีเพราะมันดูวิตกจริตเกินไป แต่เอาเข้าจริงมันต้องคำนวณค่ะ เพราะความสำเร็จในการลดน้ำหนักของคนที่ใช้ชีวิตปกติไม่ใช่นักกีฬาอย่างเรา ๆ ขึ้นอยู่กับอาหารถึง 80% ทีเดียว

การนับแคลลอรี่ไม่จำเป็นต้องเป๊ะค่ะ ขอแค่ประมาณได้ก็พอแล้วค่ะอาจจะต้องจำตารางแคลอรี่ในช่วงแรก ๆ ซึ่งหาได้จากอินเตอร์เน็ต และที่สำคัญต้องอ่านสลากโภชนาการให้เป็นด้วยค่ะ

ข้อสำคัญในการนับแคลอรี่ไม่ใช่นับว่า 1 วันเราทานได้กี่แคลอรี่นะคะ แต่ให้นับว่า 1 มื้อเราทานได้เท่าไรเช่น เราจะแบ่งอาหารเป็น  3 มื้อ ให้มื้อเช้าสำคัญสุด มื้อเที่ยงรองลงมา และมื้อเย็นเบา ๆ ไปเลย เป็นอัตราส่วน 3:2:1 หรือลองปรับอัตราส่วนตามกิจกรรมที่ทำก็ได้ค่ะ  เพราะอย่าลืมว่าคนเราเมื่อไม่ได้กิจกรรมใด ๆ หรือนอนหลับ อัตราการการใช้พลังงานก็ลดลง ถ้าพลังงานที่ได้รับมากไปมันก็จะเอาไปกักเป็นไขมันค่ะ  เราจึงไม่ควรปล่อยช่องว่างให้ร่างกายได้กระทำการนั้น โดยการใช้พลังงานที่ทานเข้าไปให้หมดค่ะ

ตัวอย่างแอนนา เบลล์ ต้องการแบ่งพลังงานเป็นสัดส่วน 3:2:1 และใน 1 วันต้องได้พลังงาน 1651.8 kcal

พลังงาน 1  ส่วน   =   1651.8 / 6   = 275.3

มื้อเช้า    3  ส่วน   =   275.3 x 3    = 825.9

มื้อเที่ยง 2  ส่วน   =   275.3 x 2    = 550.6

มื้อเย็น   1  ส่วน    =  275.3 x 1     = 275.3

ถ้าแอนนา เบลล์อยากลดน้ำหนัก ต้องจำให้ขึ้นใจ แล้วทำตามสูตรนี้ค่ะ  ไม่ต้องกลัวว่าเราจะกลายเป็นพวกวิตกจริตนะคะ แรก ๆ อาจจะต้องดูตารางแคลอรีแต่เมื่อเริ่มชิน เริ่มจำได้ ก็จะพอกะได้เองค่ะ

6. ออกกำลังกายสิคะ รออะไร

รูปภาพ:http://picsfab.com/download/image/65324/1920x1200_devushka-na-ringe.jpg

ถ้าคิดจะลดความอ้วนโดยไม่ออกกำลังกาย ก็เตรียมใจรับสภาพกับหนังย้วย ๆ เป็นคุณยายได้เลยค่ะ และยังจำแคลอรี่ที่คำนวนได้ไหมคะ นั่นคือพลังงานที่เราทานเข้าไปนะคะ  ยังมีพลังงานไขมันที่เราสะสมเอาไว้ก่อนหน้านี้อีกค่ะ   ถ้าคิดจะสลายพลังงานส่วนนี้ด้วยการบังคับให้ร่างกายดึงมาใช้แบบไม่ออกกำลังกาย หมายความว่าเราจะต้องลดพลังงานที่ทานเข้าไปให้มากกว่าที่คำนวณได้ค่ะ มันลดได้นะคะแต่มันจะเกิดโยโย่ค่ะ  ดังนั้นทางที่ปลอดภัยจากโยโย่ที่สุดก็คือการออกกำลังกายค่ะ

7. แหล่งพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ

รูปภาพ:https://sociorocketnewsen.files.wordpress.com/2015/05/b1-e1432276447477.jpg

อาหารแม้ว่าจะให้พลังงานเท่ากัน แต่ถ้าแหล่งพลังงานต่างกันมันก็มีผลค่ะเช่น พลังงานจากโปรตีนดีกว่าพลังงานจากไขมัน (โดยส่วนใหญ่)   พลังงานจากขนมปังไม่ดีเท่ากับพลังงานจากขนมปังโฮลวีต

มันเหมือนกับเงิน 1,000 บาท ที่เป็น เหรียญบาท  กับ แบงค์พัน  ที่ความเป็นมิตรของมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าจะมูลค่าเท่ากันก็ตาม

ในจุดนี้คุณผู้อ่านจำเป็นต้องศึกษาเองค่ะ เพราะมันค่อนข้างเยอะมาก อธิบายได้ลำบากค่ะ ยกตัวอย่าง ไขมันเองก็ไม่ใช่จะเลวร้ายไปเสียหมด  ยังมีไขมันที่ดีที่สมควรทาน  และไขมันที่แย่ที่ควรหลีกเลี่ยงค่ะ

8. เข้าใจการออกกำลังกายแบบ "คาร์ดิโอ" หรือ "แอโรบิค"

รูปภาพ:https://45.media.tumblr.com/94dee9eed078ad3a9d848bf27f3c0055/tumblr_mtu2hvLtMD1s1mwz2o1_500.gif

อาจจะได้ยินกันบ่อยค่ะ ก็คือการออกกำลังกายโดยให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 60% - 85% จากอัตราการเต้นสูงสุด (คือคิดยากไปนิดนึงเนอะ)  เรามาดูตารางกันดีกว่าว่าอัตราการเต้นของเราควรอยู่ในช่วงไหนนะคะ

รูปภาพ:http://image.slidesharecdn.com/targetheartratezone-120415095943-phpapp01/95/target-heart-rate-zone-1-728.jpg

จุดมุ่งหมายของการออกกำลังกายแบบนี้คือ การใช้น้ำตาลในกระแสเลือดให้หมด บังคับให้ร่างกายดึงไขมันออกมาแปลเป็นพลังงาน และให้หัวใจแข็งแรงค่ะ โดยต้องรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้อยู่ในช่วงตั้งแต่ต้นจนจบการออกกำลังกาย

ประมาณ 30 นาทีขึ้นไปค่ะร่างกายจะเริ่มนำพลังงานจากไขมันมาใช้  อาจจะยากสักหน่อยหากพึ่งเริ่มออกกำลังกาย เราอาจจะทนได้ไม่นานขนาดนั้น  ตรงนี้ไม่ต้องกังวลค่ะ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป  สักวันหนึ่งเราจะทำได้เองค่ะ  ยกตัวอย่าง ในช่วงแรกเราอาจจะวิ่ง 10 นาที เดิน 5 นาที ทำสลับไปมา 30 นาทีขึ้นไป  จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มเวลาในการวิ่งเข้าไปค่ะ

สำหรับการออกกำลังกายแบบนี้ก็จะเป็นรูปแบบที่ทำได้เรื่อย ๆ ค่ะ เช่น  วิ่ง   ว่ายน้ำ  ถีบจักรยาน ค่ะ  ส่วนกระโดดเชือกอาจจะทำได้ไม่ต่อเนื่องค่ะ เพราะมันเหนื่อย!!!!!!

9. ออกกำลังกายแบบ "เวทเทรนนิ่ง" บ้างอะไรบ้าง

รูปภาพ:https://pathways2fit.files.wordpress.com/2015/03/8580119670_62994e2707_o.jpg

สาว ๆ หลายนางเมื่อพูดถึง เวทเทรนนิ่ง (weight training)  ก็จะทำหน้าตกใจเหมือนเห็นตัวเองหน้ากระจก จนดิฉันอยากจะดึงหนังยาน ๆ บนพุงของพวกนางออกมาดีดเล่นเธอคะ เธอกำลังเข้าใจผิดอย่างมากเลยค่ะ ว่าเล่นเวทเทรนนิ่งแล้วจะกล้ามโต  เพราะในความเป็นจริงแล้วนอกจากเธอจะหุ่นสวยกระชับแล้วเธอยังจะกำจัดไขมันได้เร็วขึ้นหลายเท่าอีกด้วย

กลับไปเรียนเรื่องกระบวนการเผ่าผลาญพลังงานกันก่อนนะคะ  การที่ร่างกายจะนำไขมันมาใช้ ไม่ใช่จะหยิบไขมันมาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เลยนะคะ มันจะต้องสลายกล้ามเนื้อของเราไปพร้อมกับไขมันค่ะดังนั้นถ้าเรามีกล้ามเนื้อมากก็จะยิ่งกำจัดไขมันได้มากค่ะจุดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะที่ผู้ชายจะสามารถลดความอ้วนได้เร็วกว่าผู้หญิง   และสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายลดความอ้วนได้ง่ายกว่าก็คือจำนวนกล้ามเนื้อที่มากกว่า ซึ่งมาจากฮอร์โมนเพศชายที่ทำให้ร่างกายมีความขยันในการผลิตกล้ามเนื้อมากกว่านั้นเอง

และในผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเพศชายเพียงนิดเดียว การที่จะมีกล้ามเนื้อใหญ่มหึมาอย่างผู้ชายเป็นไปได้ยากมากค่ะ  หรือแม้แต่ผู้ชายเองการที่จะเล่นกล้ามให้ได้ผลก็ใช้เวลาเป็นปี ๆ เหมือนกันค่ะสรุปก็คือ การออกกำลังแบบ คาร์ดิโอ และ เวทเทรนนิ่ง ต้องทำควบคู่กันค่ะ โดยอาจจะสลับวันกันเล่นก็ได้ค่ะ ไม่ต้องกลัว

10. อาหารเสริม ?

รูปภาพ:http://www.ddw-online.com/img/32/800/600/0/0/maximising-the-impact-of-technologies-on-drug-discovery-through-portfolio-management.jpg

ใครใคร่จะทาน ใครจะมาแนวออแกร์นิค ก็ตามแต่กำลังศรัทธาค่ะ"เงินของฉัน ฉันจะกินอาหารเสริมอะไรก็ได้     ......แต่หล่อนกินโดยไม่ศึกษาข้อมูลไม่ได้ "สิ่งสำคัญคือการอ่านข้อมูลให้ลึกซึ้งค่ะ ว่าอาหารเสริมตัวนั้นตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ เพราะมันอาจจะหมายความว่าเรากำลังเอาเงินซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ตอนที่ลดน้ำหนักสำเร็จมาเททิ้งก็ได้

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ค่ะ" L-carnitine "หลายนางเข้าใจว่ามันช่วยเผาผลาญใช่ไหมคะ  ไม่ใช่ค่ะ นางไม่ได้ช่วยเกี่ยวกับการเผ่าผลาญอะไรนักหรอกค่ะ ยังไม่มีผลการศึกษาที่สามารถยืนยันในเรื่องการลดน้ำหนักได้ออกมารับรองค่ะ  แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่พี่สูจน์มาแล้วของ L-carnitine คือ ลดอาการเมื่อยล้า หมายความว่าเราจะออกำลังกายได้อึดขึ้น ถึกขึ้นการทาน L-Carnitine ให้ได้ผลจึงควรทานก่อนออกำลังกายจำพวกคาร์ดิโอค่ะ  ยกเว้นว่าเราเป็นพวกอึดถึกนรกอยู่แล้วก็ไม่ต้องทานหรอกค่ะ

รูปภาพ:https://4tololo.ru/files/styles/large/public/images/20151908115736.jpg

" บล็อคแป้ง

"อาหารเสริมพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสารสกัดจากถั่วขาวค่ะ การทำงานของนางคือไปยับยั้งเอ็นไซน์ที่จะย่อยพวกแป้งเหมาะสำหรับการทานในมื้อที่เราจัดหนักแป้งมาเกินไปค่ะไม่เหมาะกับการทานทุกมื้อ  เพราะว่ามันไม่ได้แก้พฤติกรรมการกินของเรา  และบางมื้อเราก็อาจจะไม่ได้ทานแป้งเลย ซึ่งทานอาหารเสริมพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์"บล็อคไขมัน"ตัวนี้ก็นิยมเช่นกัน โดยมันจะไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ใช้ย่อยไขมันค่ะ ดังนั้นไขมันที่เราทานเข้าไปก็จะไม่ถูกย่อย   หมายความว่ามันจะถูกเราถ่ายออกมาเป็นไขมันเลย  บางครั้งก็อาจจะทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำบ่อย มีอาการช้ำรั่ว ก้นเปียก เพราะไขมันไหลออกตลอดเวลาสำหรับประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน เพื่อนดิฉันทานยาดักไขมันประเภทนี้ค่ะ เราแชร์ค่าบ้านด้วยกัน เมื่อใดที่นางเข้าห้องน้ำ นางจะทำให้ส้วมมันแผล็บ ถ้าไม่รีบล้างด้วยน้ำยาล้างห้องน้ำทันที ไขมันก็จะขึ้นหืน แข็งตัวกลายเป็นก้อนไขมันติดตามโถค่ะ  เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเลยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี อาหารเสริมชนิดนี้ควรทานในมื้อที่คิดว่าทานไขมันหนัก ๆ จริง ๆ นะคะ และควรอยู่ในที่ที่อุดมไปด้วยห้องน้ำด้วยค่ะ

สิ่งหนึ่งที่อยากให้จำขึ้นใจนะคะเราไม่ได้ทานอาหารเสริมพวกนี้ไปตลอด วันหนึ่งเราจะต้องหยุดมันด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่  แต่สิ่งที่จะติดตามเราไปตลอดคือนิสัยการกิน และการออกกำลังกาย  ใช้ชีวิตในขณะที่ลดความอ้วนให้เหมือนชีวิตเมื่อลดความอ้วนได้สำเร็จจะดีกว่าค่ะ สำหรับรูปร่างสวยที่ยืนยาว

11. สูตรลดน้ำหนักแบบต่าง ๆ

รูปภาพ:https://images.atkins.com/how-it-works/landing/highcarb-vs-lowcarb-update05.jpg

Atkins ไม่แตะแป้งและน้ำตาลเลยสูตรนี้เกิดจากการที่ร่างกายของเราเลือกที่จะใช้พลังงานจากแป้งและน้ำตาล ก่อนที่จะใช้ไขมันและโปรตีนค่ะ  ดังนั้นถ้าตัดกระบวนการใช้พลังงานจากแป้งและน้ำตาลทิ้งร่างกายก็จะถูกบังคับให้ใช้พลังงานจากไขมันและโปรตีนที่สะสมไว้ค่ะ  สูตรนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณอาหารเท่าไร แต่ให้เข้มงวดเรื่องส่วนประกอบแทน  ดิฉันเคยใช้สูตรนี้ค่ะ มันได้ผลจริง แต่...............เราจะไม่ทานแป้งไปตลอดชีวิตเลยหรอคะ  ใช่ค่ะสักวันหนึ่งเราจะกลับมากิน และนั่นจะทำให้น้ำหนักเราพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะร่างกายของเราได้เข้าสู้สภาวะแล้งแค้นแล้ว


เพราะไขมันกับโปรตีนเอาออกมาใช้ยาก ไม่เหมือนคาร์โบไฮเดรต  ดังนั้นเมื่อเรากลับมาทานคาโบร์ไฮเดรตร่างกายจะเน้นไปที่งานกักตุนเปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นไขมันมากกว่าค่ะ

รูปภาพ:http://www.weightlossresources.co.uk/img/l/low-calorie-pub.jpg

สูตร 3 วัน,   7 วัน

เป็นสูตรที่กำหนดมื้ออาหารแบบซ้ำซากมาให้เราค่ะ กินตามนี้ 3 วัน 7 วัน อะไรก็ว่าไป แถมยังใช้ชื่อสูตรแบบโหนเจ้าด้วย  สูตรพวกนี้เป็นผลร้ายต่อการลดน้ำหนักมากค่ะ เพราะพลังงานที่ได้รับในแต่ละวันจากอาหารที่กำหนดมามันน้อยมาก ๆ จนเสี่ยงต่อการเกิดโยโย่เอฟเฟค   อีกประการคือสารอาหารที่ได้รับเป็นอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เลยค่ะ แถมยังซ้ำ ๆ ซาก ๆ ด้วยนอกจากจะโยโย่แล้วยังเสียสุขภาพด้วยดังนั้นเรื่องการทานอาหาร อยากให้ศึกษาเรื่องสารอาหารที่จะได้รับจากอาหารต่าง ๆ พลังงาน และส่วนประกอบมากกว่าค่ะ ในจุดนี้มันจะทำให้เราสามารถเดินเข้าร้านอะไรก็ได้ และจิ้มเลือกได้เลย จะเป็นผลดีต่อการใช้ชีวิตมากกว่าค่ะ

รูปภาพ:http://cdn29.elitedaily.com/wp-content/uploads/2015/03/hotguys_elitedaily-800x400.jpg

เหล่านี้เป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเท่านั้นนะคะ ที่นำมาบอกกันเพราะเห็นบทความลดน้ำหนักต่าง ๆ ที่แชร์กันบนโซเซียลแล้วเกิดความเป็นห่วง กลายเป็นว่าผู้อ่านจะถูกดูดเข้าไปสู่วังวนโยโย่เอฟเฟค แล้วต้องบอบช้ำเพราะไม่สามารถลดน้ำหนักได้เสียที แถมอิโยโย่เอฟเฟคเนี่ย เป็นแล้วไม่หายขาด ยิ่งกว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบอีก

กว่าที่เราจะมาไกล หุ่นบวมบาน อ้วนเป็นโอ่งได้ถึงขนาดนี้เราก็ต้องใช้เวลาในการสะสมไขมันนะคะ มันฟังดูไม่แฟร์ ถ้าหากเราจะกินอะไรก็ได้ตามต้องการ ขี้เกียจได้เต็มที่แต่สารร่างของเรายังดูดีอยู่  พระเจ้าเลยมอบโยโย่เอฟเฟคเอาไว้ให้เราเพื่อสมดุลของโลกค่ะ จะได้ไม่กินอาหารจนหมดโลก ดังนั้นพวกเราควรให้ความเกรงใจกับโยโย่เอฟเฟคกันด้วยค่ะหาข้อมูลดี ๆ ก่อนลดน้ำหนัก  โยโย่เอฟเฟคจะได้ไม่ทำร้ายเราให้กลายเป็นสาวร่างยักษ์ไปตลอดกาล

ด้วยรักและอยากสิง

แอนนา  เบลล์


บทความที่เกี่ยวข้อง