สกินชิพ (SKINSHIP) กับความหมายที่ไม่ได้สื่อถึงเฉพาะคู่รัก
เมื่อพูดถึง สกินชิพ เราก็อาจจะนึกถึงการแสดงออกด้านความรักให้กับอีกฝ่าย หรืออาจจะรวมไปถึงการทักทายสำหรับคนใหม่ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้สกินชิพก็มีความแตกต่างกันออกไปจะเป็นแบบไหนบ้านไปดูกัน
เผยแพร่: 2 ก.ค. 2566 17:00 น.
Views: 2,876
รหัสบทความ: 95191
ความสัมพันธ์ที่เกิดจากความรักทำให้ไต่ระดับความสนิทจากเลเวลน้อยไปเลเวลมาก แต่เพราะการแสดงออกด้านความรักนั้นมีมากมายไม่เพียงเฉพาะในคู่รักเท่านั้น ยังรวมไปถึงการแสดงความรักกับครอบครัว เพื่อน เป็นต้น และด้วยความรักนั้นเปรียบเปรยเป็นสิ่งที่สวยงามและน่าจับตามอง การที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เมื่อความรักมาพร้อมความสนิทที่มากยิ่งขึ้น การเข้าหาก็มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นแล้วเรามาดูการไต่ระดับของการกัน จะมีระดับไหนบ้าง และวัฒนธรรมที่ต่างประเทศเขาทำกันเป็นแบบไหน มาเริ่มกันเลย
·٠•●♥ ♥●•٠· •♥•*•♥ ·•●゙
สกินชิพ (SKINSHIP) กับความหมายที่ไม่ได้สื่อถึงเฉพาะคู่รัก
สกินชิพ (Skinship)คือ การสัมผัสทางร่างกายที่เริ่มมาจากความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์และความผูกพันธ์ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยคำว่า Skinship นั่นมีมาจากการรวมคำของคำว่า Skin + Relationship ซึ่งถูกคิดค้นและได้มีการเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น แต่ก่อนนั้นคำนี้ของญี่ปุ่นใช้คำว่า Wasei - eigo เป็นการนำมาใช้ในความสัมพันธ์ของแม่และลูก แต่ปัจจุบันก็ได้ผันแปรเปลี่ยนมาเป็น Skinship ที่สามารถนำมาใช้กับความสัมพันธ์แบบเพื่อนในปัจจุบันที่เห็นกัน แถมยังรวมไปถึงการเป็นคู่รักด้วยโดยความหมายของคำว่า Skinship คือการสัมผัสที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยเมื่ออยู่ด้วยกัน แถมยังทำให้ความสัมพันธ์นั้นมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นโดยการสัมผัสที่นิยมกันเลยคือ การจับมือ การแตะไหล่ แตะตัวนิดๆ นวด กอด ลูบหัว หรือการจูบของคู่รักกันนั่นเอง
สกินชิพ ในแต่ระดับ ที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายอึดอึด
สกินชิพ ระดับที่ 1 มือ
จากผลการวิจัยอ้างอิงของมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) เรื่องการมีปฎิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับผู้หญิงนั้น อวัยวะที่ยังรู้สึกว่าไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือคนไม่สนิทแตะตัวนั้นคือ “มือ” การจับมือนั้นยังมีความรู้สึกที่มีความปลอดภัยอยู่ แต่ในที่นี้ที่จะมาจับมือต้องมีการรู้จักกันในระดับนึงแล้วและรองลงมาคือช่วงแขนและหัวไหล่ แต่ส่วนมากหากพึ่งทำความรู้จักกันไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคู่รัก
มือคือการสกินชิพพื้นฐาน
นั่นเอง
สกินชิพ ระดับที่ 2 ศีรษะ
การสกินชิพโดยการลูบหัวนั้นเป็นสิ่งที่สื่อถึงความเริ่มสนิทกันมากๆ จนเกิดความเอ็นดู เพราะว่าการลูบหัวไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงนั้นชอบมากนักหรือแม้กระทั่งผู้ชายก็ตาม เพราะว่าถ้าเราไม่ได้รู้จักกันการมาลูบหัวนั้นอาจจะเปลี่ยนความหมายจากเอ็นดูเป็นอย่างอื่นที่ไม่ดีได้ การลูบหัวเป็นการสกินชิพที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความปลอดภัยต่อคนตรงข้ามมากยิ่งขึ้น
สกินชิพ ระดับที่ 3 การกอด
ในขั้นนี้นั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องมีความไว้ใจซึ่งกันและกันและมีความสนิทชิดเชื้อที่มากเพราะการกอดคือการแสดงออกด้านความรักหรือความหลงรักอีกฝ่าย แต่ไม่ใช่ว่าใช้เพียงแค่คนที่เป็นคู้รักกันเท่านั้น การกอดนั้นเป็นการสกินชิพที่เพื่อนหรือพ่อแม่ก็สามารถทำได้ เพราะบางทีการกอดคือความห่วงใยต่ออีกฝ่ายนั่นเอง
สกินชิพ ระดับที่ 4 การจูบ
เมื่อถึงเลเวลนี้แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นการแสดงออกสำหรับคนที่เป็นคู่รักกัน โดยการจูบในที่นี้คือการ Kiss สำหรับคนสองคนเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าเต็มเลเวลของการรู้จักกันสุดๆและการจูบของ สองฝ่ายคือการสมัครใจเท่านั้น หรืออีกฝ่ายต้องมีการขออนุญาตก่อนที่จะกระทำ เพราะต่อให้สนิทหรือรักกันแล้วก็ต้องเกิดจากความสมัครใจด้วยเช่นกัน
การสกินชิพ ในมุมมองด้านวัฒนธรรมของต่างประเทศ
ปัจจุบันนั้นเราได้รับอิทธิพลด้านต่างๆ มาจากต่างประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกันออกไปของประเทศนั้นๆ ตลอดจนอิทธิพลจากหนังหรือซีรีส์ที่เราเห็นกันโดยทั่วไปการสกินชิพที่เข้าถึงกันและกันแม้จะพึ่งรู้จักกันก็ตามซึ่งสร้างความแปลกใหม่ให้กับคนไทยอย่างมากเพราะส่วนมากการสกินชิพในต่างประเทศเริ่มต้นที่การทักทายเลยอันดับแรก โดยในไทยนั้นแน่นอนว่าการทักทายของเราตามพื้นฐานแล้วคือการยกมือไหว้ทักทายกัน แต่ต่างประเทศนั้นแตกต่างออกไป โดยบางประเทศคือการจับมือทักทายกัน การกอดเพื่อทักทาย หรือแม้กระทั้งการนำแก้มชนกันทั้งสองข้างเพื่อทักทายกัน ซึ่งหากเราได้รับการปฎิบัติแบบนี้อาจจะสร้างความงุนงงและไม่พอใจได้ด้วยความที่มีอิทธิพลมาจากหนังหรือซีรีส์ที่เราเห็นมาจากที่บอกข้างต้นแล้ว ปัจจุบันนี้อาจจะไม่รู้สึกถึงความแปลกแยกกว่าเดิมเพราะทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามการรับรู้และการเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นอย่างการท่องเที่ยวที่คนหลายเชื้อชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ทำให้คนไทยเริ่มการคุ้นชินกันมันไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ากลายเป็นเรื่องปกติแล้วนั่นเอง
·٠•●♥ ♥●•٠· •♥•*•♥ ·•●゙
มัดรวม 5 ข้อดีของการ “ Skinship ”
สกินชิพ ช่วยปลอบประโลมจิตใจได้
การสัมผัสร่างกายกันและกัน เป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ในด้านการพัฒนาการ จากงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า ทารกแรกเกิดที่ได้รับไออุ่นจากแม่ผ่านการสัมผัสส่งผลทำให้ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ควบคุมไปถึงการหายใจของทารกแรกเกิด และลดการร้องไห้ได้ดีอีกด้วย
สกินชิพช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
โดยเฉพาะการกอด จะทำให้ร่างกายปล่อยสารออกซิโทซินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกสบายตัว และรู้สึกถึงความปลอดภัย อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันและสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากขึ้น ทั้งนี้แล้วยังช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลดลง แถมยังทำให้นอนหลับสบายได้ดีอีกด้วย
สกินชิพช่วยให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น
ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย ประกอบไปด้วยเส้นประสาทในหลายส่วนที่ส่งผลจากการรับสัมผัสที่ได้รับทั้งดีและไม่ดีไปยังสมองของเรา เมื่อเราอยู่กับคนที่ทำให้ให้รู้สึกปลอดภัยโดยการแสดงออกผ่านการกอด การตบไหล่ การจับมือสมองก็จะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินออกมา ทำให้รู้สึกดีและลดความกังวลลงไปได้นอกจากนี้ยังลดความกลัว รวมถึงอาการโรคซึมเศร้าด้วย
การสกินชิพ ช่วยเพิ่มความสนิทและไว้ใจ
การสกินชิพเหมือนเป็นการสร้างความไว้ใจให้กันและกัน และเพิ่มความสัมพันธ์ที่สนิทกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยในการเป็นเกราะป้องกันสำหรับคนที่ได้รับสิ่งใหม่เข้ามาอย่างเช่น การทักทายในรูปแบบใหม่ ทำให้เปิดใจและกล้าทักทายกับคนอื่นได้ครั้งแรก สามารถช่วยให้ลดความกังวลใจและเริ่มไว้วางใจ สร้างความสนิทสนมกับผู้อื่นได้ง่ายนั่นเอง
สกินชิพทำให้รู็สึกสงบและปลอดภัย
การสัมผัสทำให้ร่างกายหลั่งสารโดปามีนที่เป็นสารทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสงบเนื่องจากหัวใจจะเต้นช้าลงจนถึงอัตราการเต้นที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้แล้วนั้นการสกินชิพผ่านการนวดให้เมื่อรู้สึกปวดตามร่างกาย ก็จะทำให้ร่างกายรู้สึกดีมากยิ่งขึ้นด้วยได้นั่นเอง
·٠•●♥ ♥●•٠· •♥•*•♥ ·•●゙
จะเห็นได้เลยว่าข้อดีของการสกินชิพนั้นดีมากๆ รวมไปถึงการเปิดใจยอมรับในการสัมผัสของอีกฝ่ายมากขึ้นนั่นเอง โดยการสกินชิพอย่างที่บอกว่าไม่จำเป็นแค่เฉพาะคู่รักเพียงเท่านั้น เพราะเราสามารถสกินชิพเพื่อแสดงความรักต่อคนที่เรารัก หรือรวมไปถึงการทักทายกับคนใหม่ๆ ได้ด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อที่จ้องระวังอยู่ดี อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะโอเคกับการสกินชิพนะคะเมาท์มอยกันพอประมาณนึงแล้ว ในส่วนของวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนนะคะ ครั้งหน้าจะมานำเสนอเรื่องราวอะไร รอติดตามที่https://sistacafe.com/ได้เหมือนเดิมเลยนะ