1. SistaCafe
  2. ของไม่ต้องมี บ้างก็ได้! Deinfluencing เทรนด์ใหม่เตือนสติสายติดช้อป

ฮัลโหลลล~ สวัสดีค่าชาวซิสและนักอ่านทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านกันเลยนะคะ ว่าแต่ทุกคนเคยได้ยินวลี "ของมันต้องมี" ไหมคะ เชื่อว่าต้องเคยได้ยินบ้างใช่ม้า? แต่รู้ไหมคะว่าเดี๋ยวนี้เขาเริ่มเปลี่ยนเทรนด์จาก ของมันต้องมี เป็น ของไม่ต้องมี กันแล้วนะเออ ฟังดูแบบเอ๊ะ มันยังไงกันนะ ทำไมไม่ต้องมีก็ได้ มันเป็นเทรนด์จริง ๆ เหรอ งั้นเอาแบบนี้ค่ะ เราจะพาทุกคนไปรู้จักต้นตอของเทรนด์นี้กันว่ามันมายังไง มาจากไหน แล้วจะทำยังไงให้เราร่วมเทรนด์ของไม่ต้องมีได้ ไปส่องพร้อมกันเลยจ้า!



♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


วลี #ของมันต้องมี มาจากไหน? คืออะไร?

ก่อนจะเข้าประเด็นของไม่ต้องมี เราต้องมารู้จักวลี "ของมันต้องมี" กันก่อนเลยค่ะ วลีนี้ถือกำเนิดจากคุณสู่ขวัญ บูลกุลหรือคุณสู่ขวัญจากคลิปในช่อง Praew Magazine นะคะ คือเป็นตอนที่คุณสู่ขวัญเดินชอปปิงซื้อของนั่นนี่มากมาย แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า "ของมันต้องมี" เพื่อบอกกับคนดูและทีมงานว่าของมันควรมีจริง ๆ น้า ต้องซื้อ ต้องมีให้ได้ ช่วงนั้นคนก็ชอบวลีนี้กันเยอะมาก ๆ นะคะ จะซื้อของอะไรก็พูดดักตลอดว่าของมันต้องมี ๆ แต่ถึงอย่างนั้นคุณสู่ขวัญก็บอกเสมอน้าว่าอย่าซื้อของจนเดือดร้อนหรือลำบากตัวเอง ชอปปิงแบบพอดีอย่าให้ตัวเองล้มละลายค่า


แล้วเทรนด์ #ของไม่ต้องมี คืออะไร?

จริง ๆ มันคือการเล่นคำกับวลีเดิมที่ฮิตนี่แหละค่ะ เป็นการบอกว่าของบางอย่างมันไม่ต้องมีก็ได้หรือสินค้าบางอย่างไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ ที่กำลังเป็นเทรนด์ฮิตอยู่เลยก็คือการที่มีอินฟลูเอนเซอร์ใน TikTok เริ่มออกมาใช้แฮชแท็ก #deinfluencing กันเยอะมากขึ้น เนื่องจากว่าอินฟลูฯหลาย ๆ คนมักจะรีวิวของว่ามันต้องมีไปเรื่อยไปเปื่อยเกินไปเพราะได้รับเงินค่าจ้างจากแบรนด์มาให้พูด แต่ก็มีอินฟลูฯอีกกลุ่มนึงที่ออกมาบอกว่าสินค้าชิ้นนี้มันไม่ต้องมีก็ได้นะ มันไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่ต้องมีขนาดนั้น เพื่อทำให้คนดูแบบเรา ๆ เริ่มมีสติและชะงักในการซื้อสินค้านั่นเอง


แนะนำฮาวทูห้ามใจสำหรับคนที่อยากอินเทรนด์ ของไม่ต้องมี!


1.) รู้ว่าของไหนต้องมี ของไหนไม่ต้องมี

ขั้นแรกเลยก็คือแยกแยะให้ได้ค่ะว่าสินค้าแบบไหนต้องมีและสินค้าแบบไหนไม่ต้องมีก็ได้ คือบางอย่างมันจำเป็นต้องใช้ไหมก็อาจจะใช่ แต่มันต้องซื้่อณ.ตอนนั้นเลยไหม เช่น เห็นรองพื้นลดราคา เราเป็นคนแต่งหน้าซื้อมาก็ได้ใช้อยู่แล้ว แต่! รองพื้นที่บ้านยังเต็มขวดอยู่เลย ไม่รู้จะใช้หมดเมื่อไหร่ด้วย ถ้าซื้ออันใหม่ไปตุนเดี๋ยวของใหม่ก็ออกอีกหรือไม่แน่ก็อาจจะหมดอายุไปซะก่อนด้วย อะไรแบบนี้ก็ช่วยทำให้เราคิดและดึงสติได้ดีด้วยนะคะ ก่อนซื้อของอย่าลืมเช็กด้วยล่ะว่าของต้องมีหรือไม่ต้องมี!


2.) คิดไว้เสมอว่าเรา "อยากได้" หรือ "มันจำเป็น"

ถัดมาให้เราคิดเลยค่ะว่ามันอยากได้เฉย ๆ หรือมันจำเป็น อย่างของใช้บางอย่างมันจำเป็นจริง ๆ เช่น สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพู ครีมนวดผม เป็นต้น ราคาบางชิ้นอาจจะสูงหน่อยแต่เราได้ใช้แน่นอนนะคะ อะไรแบบนี้ให้จัดในหมวดจำเป็นได้เลย แต่ถ้าของที่มันไม่มีก็ใช้ชีวิตได้ มันไม่มีก็ไม่ได้ลำบากอะไรพวกนั้นให้จัดอยู่ในหมวดอยากได้เฉย ๆ ได้เลยนะคะ ซึ่งอยากได้เฉย ๆ มันอาจจะไม่ต้องซื้อตอนนั้นเลยหรือมันอาจจะตัดใจได้ ก็อยากให้ทุกคนลองคิดไตร่ตรองให้ดีนะคะ


3.) ทำรายรับ-รายจ่าย

โดยเราจะต้องเริ่มจากเงินเดือนของเราก่อน ใครได้จากพ่อแม่เดือนละเท่าไหร่ก็เอาเงินนั้นมาตั้งต้นได้เลยค่ะ หลังจากนั้นให้คำนวณว่าเงินที่เราต้องจ่ายในทุกเดือนมีอะไรบ้าง จดไว้เลยว่าเงินส่วนนี้คือต้องจ่ายทุกเดือนแล้วก็สำรองเงินไว้ให้พร้อม หลังจากนั้นให้คำนวณค่ากินอยู่ทั่วไปค่ะว่าเราใช้ประมาณเดือนละเท่าไหร่ แล้วนอกจากนั้นก็เป็นส่วนของเงินเก็บ แต่เงินเก็บก็อาจจะต้องเจียดบางส่วนมาใช้ซื้อของที่จำเป็นหรือของที่ให้รางวัลตัวเองบ้าง โดยหลัก ๆ ก็ต้องแบ่งงบไว้นะคะว่าจะใช้เดือนละเท่าไหร่ แล้วก็ต้องจดบันทึกลงรายรับรายจ่ายด้วยนะเออ จะได้รู้ว่าเราใช้เงินอะไรไปบ้าง


4.) ประเมินงบของตัวเองก่อนซื้อของเสมอ

รู้ว่าเงินของเราที่จะใช้จ่ายมีเท่าไหร่ งบประมาณในการใช้จ่ายซื้อของมีประมาณไหน แบ่งให้เป็นสัดส่วนชัดเจนนะคะว่าอันนี้ใช้จ่ายอะไร อันนี้ใช้จ่ายอะไร เพื่อไม่ให้งบมันทับซ้อนกันหรือทำให้ค่าใช้จ่ายมันบานปลาย แล้วก่อนซื้อทุกครั้งคิดให้ดีเสมอเลยค่ะว่ามันเกินงบไหม มันพอดีกับงบไหม แล้วมันจำเป็นไหม ถ้ามันไม่ได้จำเป็นแถมเกินงบให้ตัดออกไปเลยค่ะ ทำใจลำบากหน่อยแต่ตัดปัญหาซื้อของไม่จำเป็นไปได้เยอะมาก ๆ เลยล่ะ


5.) อย่าเชื่อรีวิวไปซะทุกอย่าง

สมัยนี้อินฟลูเอนเซอร์และนักรีวิวมีเยอะมาก ๆ นะคะ บางคนเป็นนักรีวิวมีคุณภาพ ไม่หลอกและไม่จกตา รีวิวแต่ของดีจริง ๆ แต่บางคนก็รับเงินจากแบรนด์แล้วอวยอย่างเดียวก็มีนะคะ ดังนั้นเนี่ยการรับสื่อสำคัญมาก พยายามดูให้หลากหลายเข้าไว้ค่ะ คนนี้พูดแบบนึง คนนั้นอาจจะพูดไม่เหมือนกันก็ได้ ฟังให้เยอะ ๆ ไว้ก่อน ดูข้อมูลจากรีวิวหลาย ๆ ที่ ยิ่งเราเจอคนรีวิวหลากหลายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เราเห็นคุณภาพสินค้าชัดเจนมากขึ้นน้า


6.) ก่อนจะซื้ออะไรให้เราลองทิ้งเวลาในการคิดก่อนซื้อ

ทริคนี้เป็นทริคของเราเองค่ะ ใช้ทีไรได้ผลทุกทีไปนะคะ วิธีการง่ายมาก ๆ ค่ะ เวลาเราอยากได้อะไรมาก ๆ แบบโอ๊ย ของมันต้องมีอะคุณแม่! แต่ก็ไม่อยากใช้จ่ายขนาดนั้น พยายามคิดแล้วว่ามันไม่จำเป็นแต่ใจก็ยังวอแวอยากจะได้ ให้เราทิ้งมันไปก่อนหรือก็คืออย่าเพิ่งซื้อ ให้เราใช้ชีวิตไปแบบปกติเลยค่ะ กินข้าว อาบน้ำ ทำงาน ไปเรียนอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราอยากได้ของชิ้นนั้นจริง ๆ เราจะคิดถึงมันตลอดเวลา แต่ถ้ามันไม่ได้อยู่ในหัวเราขนาดนั้นหรือแทบจะลืมคิดไปเลยว่าเอ๊ะ... เราอยากได้มันมาก ๆ เลยนี่ นั่นก็แปลว่าเราอาจจะไม่ได้อยากได้มันขนาดนั้นนั่นเอง ถ้าใครเป็นแบบนี้ก็ให้ตัดใจไม่ต้องซื้อได้เลยน้า


7.) คอยสังเกตว่าของชิ้นนี้มันสมราคารึเปล่า

ข้อสุดท้ายที่ต้องบอกเลยว่าต้องคิดดี ๆ มาก ๆ นั่นก็คือ "สินค้าชิ้นนี้มันราคาเหมาะสมกับคุณภาพรึเปล่า" ของดีไม่ได้แปลว่าต้องแพง ของแพงก็ไม่ได้แปลว่าดีนะคะ ดังนั้นเนี่ยอย่ายึดติดว่าของแพงจะคุณภาพดีเสมอไป ให้เราดูความเหมาะสมด้วยว่าของราคาเท่านี้กับคุณภาพที่เราจะได้รับหรือวัสดุที่เขาใช้ทำ ใช้ผลิตมันเหมาะสมกับราคานี้จริง ๆ ไหม เพราะสมัยนี้พูดกันตรง ๆ บางอย่าง Overpriced หรือราคาแพงเกินจำเป็นเยอะมาก ๆ นะคะ ถ้าไม่คอยเช็กบ้่างก็อาจจะทำให้โดนเอาเปรียบจากแบรนด์ต่าง ๆ ได้ค่ะ


สรุป

สรุปเลยง่าย ๆ นะคะ คือ เราควรมี "สติ" มากที่สุดค่ะ จะจับจ่ายใช้สอยอะไรให้มีสติอยู่เสมอ แม้ของสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ชอบมากหรือจำเป็นมากก็ยังอยากให้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนนะคะ ยิ่งสมัยนี้ร้านค้ามีมากมาย บางร้านขายแพงเกินไปก็มี บางร้านขายราคาถูกไปก็มี พยายามดูจากความน่าเชื่อถือของร้านเป็นหลัก ราคาแรงหน่อยแต่ซื้อแล้วมั่นใจว่าได้ของแท้ก็ซื้อร้านที่ราคาแรงหน่อยก็ดีนะคะจะได้ไม่เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย ส่วนเรื่องของความอยากได้เชื่อว่ามันยากที่จะตัดใจในการซื้อของที่ไม่จำเป็นแต่ถ้างบหรือราคามันสูงเกินความพอดีก็อยากให้ตัดใจให้ได้นะคะ เอาเท่าที่ไหวและไม่เดือดร้อนตัวเองกันน้า


♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥


ได้รู้จักทั้งเทรนด์ของมันต้องมี และ ของไม่ต้องมี แล้วนะคะ เป็นยังไงคะ? เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยละซี่ว่าเทรนด์ 2 สิ่งนี้แตกต่างกันมาก ๆ ใครที่อยากจะประหยัดงบก็อย่าลืมไปทำตามเทรนด์ของไม่ต้องมีกันได้นะคะ บอกเลยว่าทำตามนี้ช่วยประหยัดได้ดีสุด ๆ แถมยังตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้เยอะด้วย ยังไงก็ลองไปปรับใช้กันนะคะ ส่วนตอนนี้ทางเราของตัวไปทำตามกันบ้างดีกว่าค่ะ แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ บ๊ายบาย :-D


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ






เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้