1. SistaCafe
  2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว !! รีบเช็กอาการเสี่ยงก่อนสาย

การพูดคุยเรื่องทางเพศไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป ! 🙅🏻‍♀️ เพราะสัมันนี้ทุกคนต่างมองว่าเป็นเรื่องที่ธรรมชาติและปกติ ฉะนั้นเมื่อพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก คู่นอน หรือความสัมพันธ์แบบอื่นๆ หากมีเพศสัมพันธ์กันแล้วต้องคำนึงถึงหลายสิ่งหลายอย่างควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มักพบเจอบ่อยๆ จากคู่นอน เพื่อให้เราเข้าใจอย่างมากขึ้นเกี่ยวกับ " โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ " เราควรรู้ถึงที่มาว่าเกิดจากอะไร มีโรคติดต่อประเภทไหนบ้าง พร้อมหาวิธีป้องกันไปด้วยนั่นเอง?


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากอะไร ?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease) คือ กลุ่มโรคที่ติดต่อจากคนสู่คน หรือเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อชนิดต่างๆ โดยไม่ได้รับการป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่ติดต่อจากการร่วมเพศระหว่างชายและหญิงตลอดจนเพศสัมพันธ์จากกลุ่ม LGBT ด้วย โดยสามารถติดต่อจากการสัมผัสทางใดทางหนึ่ง ได้แก่ ทางปากช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก และโรคกลุ่มนี้สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ หากพบว่าติดโรคมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างถูกต้องและปฏิบัติตนให้ถูกวิธีเพื่อการหลีกเลี่ยง


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตรวจยังไง? ใครควรตรวจบ้าง?

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases หรือ STDs) มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคที่ต้องการตรวจ โดยทั่วไปมีวิธีดังนี้

  • การตรวจจากปัสสาวะ (Urinalysis) 
  • การตรวจเลือด (Blood Test) 
  • การตรวจจากสารคัดหลั่ง (Body fluid analysis) 
  • การตรวจภายใน (Pervic Exam) 
  • การตรวจร่างกาย (Physical Examination : PE) 

เริ่มต้นแพทย์จะวินิจฉัย พร้อมซักประวัติคนไข้อย่างละเอียดเพื่อเลือกวิธีตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุด โดยทั่วไปแล้ววิธีที่นิยมมากที่สุดคือการตรวจผ่านการเจาะเลือด และการตรวจร่างกาย/ตรวจภายใน โดยการตรวจร่างกายหรือตรวจภายในนั้นจะใช้เพื่อวิเคราะห์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่แสดงอาการ เช่น โรคเริม หูด หนองใน หรือซิฟิลิสเป็นต้น ส่วนในกรณีของการตรวจเลือดจะนิยมใช้เพื่อตรวจหาโรคที่ไม่แสดงอาการ เช่น HPV, HIV เป็นต้น

ใครควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

  • คนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • คนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยฉีกขาดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • คนที่ใช้สารเสพติดร่วมขณะมีเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะการใช้สารเสพติดที่มีการใช้เข็มร่วมกัน
  • คนที่ที่ตนหรือคู่นอนมีประวัติติดเชื้อมาก่อน แต่ไม่ได้ป้องกันอย่างถูกต้อง

⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?


1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ HPV

มีสาเหตุสำคัญที่สามารถทำให้ก่อมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนักหรือมะเร็งช่องปากในผู้ชายได้ รวมถึงยังเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ตามบริเวณอวัยวะเพศทั้งภายในและภายนอกรวมบริเวณใกล้เคียงต่างๆ อย่างเช่น ขาหนีบ หรือทวารหนักได้อีกด้วย ซึ่งเชื้อนี้นั้นเกิดจากไวรัสHuman Papilloma Virusที่มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึงหลายปีซึ่งอาการมักแสดงออกมาได้ 2 แบบ คืออาการของหูดหงอนไก่ที่จะมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำปลีขึ้นบริเวณอวัยวะเพศทวารหนักและง่ามขา และอาการที่ 2 ของโรคมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งช่องปาก เป็นต้น

✅ มีหูดหรือตุ่มนูนบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก

✅ หูดมีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ อาจขึ้นเป็นกลุ่มหรือเดี่ยว

✅ อาการคัน ระคายเคือง หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณอวัยวะเพศ

✅ บางสายพันธุ์ของ HPV ไม่มีอาการแต่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก


2. โรคเริม

ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) โดยจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ HSV (Type 1) ที่ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ HSV (Type 2) ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเป็นโรคที่ใช้เวลาในการฟักตัวซักพักถึงจะแสดงอาการ เมื่อหายดีแล้วเชื้อชนิดนี้ก็มักจะแอบซ่อนอยู่ในปมประสาทใต้ผิวหนังของเราและพร้อมแสดงอาการได้ทุกเมื่อหากร่างกายของเราอ่อนแอหรือมีการพักผ่อนน้อยโดยการแสดงอาการของโรคเริมที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมักจะเริ่มจากการมีแผลบวมแดง มีตุ่มพองใสๆ ขึ้นบริเวณที่ได้รับเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ง่ามขา หรือปาก ซึ่งบางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วย หลังจากนั้นตุ่มพองใสจะแตกและทำให้มีอาการเจ็บ ปวดแสบปวดร้อนก่อนจะค่อยๆ แห้งตกเป็นสะเก็ดประมาณ 2-6 สัปดาห์ โดยบางคนนั้นอาจมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือเกิดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้ผิวหนังที่ติดเชื้อโตได้

✅ มีตุ่มน้ำใสหรือแผลพุพองบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือรอบๆ

✅ แผลแตกออกเป็นแผลเปิด ทำให้รู้สึกแสบและเจ็บ

✅ คัน บวมแดง หรือมีอาการเสียวแปลบที่อวัยวะเพศ

✅ ปัสสาวะแสบขัด (ถ้าตุ่มพุพองอยู่ใกล้ท่อปัสสาวะ)

✅ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ (อาการช่วงแรกติดเชื้อ)


3. โรคติดต่อซิฟิลิส

ซิฟิลิสมาจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema Pallidum โดยมีระยะฟักตัว 1-90 วัน แต่ส่วนมากจะเฉลี่ยอยู่ที่ 21 วัน โดยเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง เนื่องจากโรคซิฟิลิสนั้นสามารถติดต่อได้ผ่านทางแผลเล็กๆ บนผิวหนัง โดยส่วนมากเกิดได้ที่บริเวณช่องคลอด ทวารหนัก และปาก จึงทำให้พบโรคนี้ได้มากในกลุ่มวัยรุ่นตลอดจนช่วงมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย หรือเยาวชนที่มีอายุเพียง 15-24 ปีโดยอาการของซิฟิลิสนั้นจะเกิดอาการเป็นระยะดังนี้

ระยะที่ 1: มีแผลริมแข็ง (Chancre) ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก (ไม่เจ็บ)

ระยะที่ 2: มีผื่นแดงตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า

ระยะที่ 2: มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อย

ระยะที่ 3 (รุนแรง): อาจส่งผลต่อสมอง หัวใจ หรือระบบประสาท (หากไม่รักษา)


4. โรคหนองในแท้และหนองในเทียม

อาการของหนองในแท้ ในผู้ชายอาจมีหนองขาวขุ่นหรือเขียวไหลออกมาจากท่อปัสสาวะร่วมกับอาการเจ็บลึกๆ หรือแสบขัดขณะปัสสาวะ ในขณะที่ผู้หญิงอาจไม่มีอาการหรืออาการแสดงน้อย เช่น ตกขาวผิดปกติ ท่อปัสสาวะและปากมดลูกอักเสบ มีหนองไหลออกมาจากปากมด

✅ มีตกขาวข้นเป็นหนอง สีเหลืองหรือเขียว (ผู้หญิง)

✅ มีหนองไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ (ผู้ชาย)

✅ ปัสสาวะแสบขัด ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ

✅ ปวดท้องน้อย (ผู้หญิง)

✅ เจ็บคอเรื้อรัง (หากติดเชื้อทางปาก)

อาการหนองในเทียม มักจะแสดงคล้ายกับหนองในแท้แต่รุนแรงน้อยกว่า โดยในผู้ชายนั้นมักจะมีคราบเหลืองติดที่กางเกงใน ส่วนผู้หญิงจะมีอาการคล้ายตกขาวแต่เป็นสีเหลืองตลอดเวลาและมักจะเป็นเรื้อรัง

✅ อาการคล้ายหนองในแท้ แต่บางครั้งไม่มีอาการชัดเจน

✅ ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่น หรือมีสีเหลืองขุ่น

✅ ปัสสาวะแสบขัด หรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

✅ เจ็บท้องน้อย (ถ้าติดเชื้อที่มดลูกหรือท่อนำไข่)

✅ ติดเชื้อที่ตา (ถ้ามือสัมผัสสารคัดหลั่งแล้วขยี้ตา)


5. อาการของโรค HIV

HIV เป็นเชื้อที่สามารถติดต่อได้จากการผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ ช่องคลอด หรือน้ำนม เป็นต้น โดยเชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องและทำให้เกิดโรคเอดส์(AIDS) ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป เพียงแต่หากติดเชื้อเอชไอวีแล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายตลอดไป❗อีกทั้งเชื้อเอชไอวีนี้สามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกได้ในระยะการคลอดหรืออาจได้รับเชื้อจากน้ำนมแม่ด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อเอชไอวีมักไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจนแต่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ 7 วันขึ้นไปตามเทคนิคการตรวจเพาะเชื้อด้วยวิธีต่างๆ ของแพทย์

✅ ไข้ต่ำๆ ต่อมน้ำเหลืองโต (ช่วงแรกของการติดเชื้อ)

✅ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว

✅ น้ำหนักลดผิดปกติ

✅ มีแผลร้อนในเรื้อรังในปากหรืออวัยวะเพศ

✅ ติดเชื้อง่าย เช่น ปอดบวม เชื้อราในปาก วัณโรค


⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕⁕

วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีที่ดีที่สุดคือ งดการมีเพศสัมพันธ์ และปฏิบัติดังต่อไปนี้

  1. ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ และเมื่อมีเพศสัมพันธ์ต้องสวมเครื่องป้องกัน อย่างเช่น ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อเป็นการป้องกันขั้นต้น
  2. ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งโดยเฉพาะกรณีที่มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า
  3. ห้ามร่วมเพศหากมีประจำเดือนอยู่ เพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงของการติดโรคได้มากยิ่งขึ้น
  4. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย
  5. ควรตรวจเลือดประจำปีทุกครั้ง เพื่อหาเชื้อโรคในกลุ่มที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะคู่ที่แต่งงานใหม่ การพบแพทย์เป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหากเป็นระยะแรกก็สามารถรักษาได้ทันท่วงที

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  1. ควรงดร่วมเพศรวมทั้งสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคออกไป
  2. ไม่ควรซื้อยารักษาด้วยตัวเองควรเข้าตรวจรักษากับแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เชื้อเกิดการดื้อตัวยาได้
  3. ยารักษาไม่หาย การเข้ารักษากับแพทย์โดยตรงจะส่งผลดีกับตัวเองและได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการรักษามากกว่า
  4. ไปตรวจรักษาตามนัดทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  5. ควรแจ้งให้สามีภรรยาทราบและควรพาคู่นอนไปตรวจรักษาโดยเร็วที่สุดเมื่อทราบว่าตนเองเป็นโรค
  6. เมื่อตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรเจาะเลือดตรวจหาเชื้อเอชไอวี
  7. ในกรณีเกิดหนองในผู้ชายไม่ควรรีดอวัยวะเพศเพื่อดูหนอง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบได้มากยิ่งขึ้น• รักษาอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
  8. ควรงดดื่มเหล้า เบียร์ และเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ทุกชนิด

การมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ผิด อย่างที่บอกว่าเป็นสิ่งที่เปิดกว้างและเป็นเรื่องที่เรามองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่ควรคำนึงหรือใส่ใจมากๆ หากมีเพศสัมพันธ์ต้องอย่าลืมป้องกันอย่างการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดโอกาสการเกิด " โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ " นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนรัก คู่นอนแปลกหน้า โดยเฉพาะคู่ที่จะเริ่มแต่งงานใหม่อย่าลืมจับมือกันไปตรวจโรคเพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่ายกันด้วย เพระหากเกิดการติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ขึ้นมาเรียกได้ว่าไม่คุ้มกับตัวเราเองสุดๆ ฉะนั้นป้องกันตั้งแต่แรกๆ อย่างการสวมถุงยางอนามัยและโดยเฉพาะผู้หญิงหลังการมีเพศสัมพันธ์เสร็จควรไปปัสสาวะออกให้เร็วที่สุดและทำความสะอาดเพื่อลดการเสี่ยงติดโรคนั่นเอง


ขอบคุณรูปภาพจาก : Freepik

ขอบคุณข้อมูลจาก Bangkok Pattaya Hospital, SAMITIVEJ CHINATOWN, Intouch Medicare, VIMUT


บทความอื่นๆ ที่แนะนำ

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1