เจอกันอีกแล้วน้า (´ ω `♡)
หนึ่งในปัญหาอันดับต้นๆ ของการดูแลตัวเอง เชื่อว่า 8 ใน 10 คนต้องยกมือตอบรัวๆ ว่า ' ก็ผิวหน้ายังไงล่ะ!! ' แค่พื้นที่บริเวณเล็กๆ บนร่างกายแท้ๆ แต่เรื่องเยอะมากกก เวอร์! เราว่าทุกคนต้องเจออย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่น ผิวมันเยิ้ม ผิวแห้งกร้าน สิวขึ้น มีจุดด่างดำ ริ้วรอย มีฝ้า ผิวหน้าตกสะเก็ด etc. ซึ่งบางคนก็จะเจอปัญหาว่า ผิวหน้าแห้งกร้านสุดๆ หยาบเป็นกระดาษทรายเลย แต่ไม่แน่ใจว่าแห้งจากกรรมพันธุ์ หรือแห้งเพราะ ' ขาดน้ำ ' กันแน่ เลือกใช้สกินแคร์ไม่ถูกจ้า ( ̄~ ̄;)
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ' ผิวขาดน้ำ ' เหมือนอาการย่อยๆ ของสภาพผิวมากกว่า จะมีผิวมัน ผิวผสม หรือผิวแห้ง ก็อาจเป็นผิวขาดน้ำ ( dehydrated ) ไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งผิวแห้งโดยทั่วไป คือการที่ชั้นใต้ผิว ' ผลิตน้ำมัน ' ออกมาหล่อเลี้ยงผิวหน้าและผิวกายน้อยเกินไป แต่ผิวขาดน้ำคือ ' ผิวที่ขาดน้ำ ไม่ใช่น้ำมัน ' ค่ะ
สำหรับสาวๆ ที่ยังสงสัยว่า เราเป็นผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ จะเช็คยังไง ถ้ารู้แล้วจะบำรุงผิวยังไง ก็มาทำตาม 3 ขั้นตอนในบทความนี้กันเลยค่า ^___^!

ส่วนผิวขาดน้ำ คือการที่ชั้นใต้ผิวไม่มีน้ำโอบอุ้มเพียงพอ หรือผิวไม่ชุ่มชื้น ไม่อิ่มน้ำนั่นเอง! ซึ่งสาเหตุก็เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น สภาพอากาศ สภาพแวดล้อม อาหาร และการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ มากเกินไป เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกายค่ะ
วิธีเช็คว่าสภาพผิวของสาวๆ เป็นยังไง ง่ายมาก แค่ลองหยิกแก้มตัวเองเบาๆ ดู! หากหยิกแล้วแต่แก้มยังยุบตัวเป็นร่องอยู่อย่างนั้น ไม่เด้งกลับคืนสภาพเดิม แสดงว่าผิวกำลังขาดน้ำอย่างรุนแรง! สภาพผิวขาดน้ำ เมื่อจับแล้วจะรู้สึกผิวตึงๆ ระคายเคือง ส่องกระจกแล้วดูหน้าหมอง และอาจมีริ้วรอยก่อนวัยโผล่ตามจุดต่างๆ บนหน้า + แพนด้าใต้ตาอีกด้วย ก็คือผิวพังที่แท้จริงจ้า (ーー;)

มีจุดแตกต่างดังนี้!!!
ผิวขาดน้ำ : ผิวมีรอยแดง, ตัวดูบวม มีน้ำคั่งในผิว และอาการผิวอักเสบ
ผิวแห้ง : ระคายเคือง ไม่สบายผิว ลอก ตกสะเก็ดเป็นขุยๆ สีขาว แถมคันยิบๆ โดยเฉพาะบริเวณผิวเหนือคิ้ว, ขอบข้างจมูก-ปาก ถ้าแห้งทั้งตัว บริเวณยอดฮิตก็มีลำคอ ด้านในต้นแขน และด้านในต้นขา หากเกาหรือถูแรงๆ ผิวจะยิ่งหยาบ เหมือนขัดกระดาษทรายเลยล่ะ!
อ่านถึงตรงนี้แล้ว รู้หรือยังว่าผิวแห้ง / ผิวขาดน้ำ หรือเป็นทั้งคู่ TT
ถ้าพร้อมแล้วก็มาลุยต่อที่ขั้นตอนถัดไปกันค่ะ!
ใครเป็น ' สาวผิวแห้ง ' แม้จะแสบ จะคัน แต่ก็ยังไม่แย่ขนาดนั้น เพราะมีวิธีรักษา บำรุงผิวมากมาย ทั้งภายนอกและภายใน สครับหน้า ทาครีม กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ทาสกินแคร์จำพวกกรดบนผิวหน้า เป็นต้น
และถ้าใครเป็น ' สาวผิวขาดน้ำ ' ล่ะก็ การบำรุงผิวจะซับซ้อนกว่า ไม่เหมือนผิวแห้ง 100% จะมีบางอย่างที่ดูแลต่างกัน ดังนั้นจึงต้องตั้งใจดูแลตามสภาพผิวให้ดี อย่าให้พลาด ถ้าทำผิด ผิวอาจแย่กว่าเดิมค่ะซิส!

วิธีแรกที่แนะนำคือการ ' สครับหน้า ' หรือผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ให้กระจ่างใส! จะผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำก็ทำได้ ( แต่ควรเบามือหน่อย ) เพราะการสครับ จะเป็นการขจัดสิ่งสกปรก ขี้ไคล ซีบัมต่างๆ และเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วบนชั้นผิวหนังออก ทำให้ผิวพร้อมดูดซึมมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวมากยิ่งขึ้นค่ะ
ความถี่ที่เหมาะสม คือสาวๆ ควรสครับสัปดาห์ละครั้ง เลือกสครับสูตรอ่อนโยน เลือกเม็ดสครับละเอียด ไม่บาดผิว ( จะซื้อเอาหรือ D.I.Y เองที่บ้านก็ได้ ใช้น้ำตาลผสมวาสลีน น้ำผึ้ง โยเกิร์ต น้ำผึ้งมะนาว คนให้เข้ากันก็พร้อมใช้! ) นำสครับมาวนเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เท่านี้ก็เหมือนเปิดผิวให้ทาครีมแล้วได้ประสิทธิภาพ 100% ผิวสวยปิ๊งอย่างแน่นอนค่า ♡ ( ̄З ̄)

ปกติแล้ว ผิวหน้าของเราจะผลิตกรด hyaluronic ได้เองตามธรรมชาติ แต่ถ้าผิวขาดน้ำ นั่นหมายถึงกรดที่ผลิตออกมาน้อยเกินไป จึงควรอัดเพิ่มด้วยสกินแคร์ที่เสริมความชุ่มชื้น โดยหลังล้างหน้า เช็ดโทนเนอร์แล้ว ก็หยดเซรั่ม 5 จุดทั่วใบหน้า แล้วใช้มืออุ่นๆ นวดให้เซรั่มซึมเข้าผิว แล้วลงครีมตัวต่อไปได้เลย (❤ω❤)

สาวผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำคนไหน ติดการใช้ครีมเนื้อเจล เนื้อโลชั่น ถ้าอยากผิวฟูอิ่มน้ำ เธอต้องเปลี่ยนสูตรครีมด่วน! สาวๆ ส่วนใหญ่มักนอนห้องแอร์ ซึ่งอากาศในห้องมีความแห้ง ผิวหน้าจึงสูญเสียความชุ่มชื้นระหว่างหลับ จำเป็นมากที่เธอต้องใช้ ' ครีมบำรุงเนื้อเข้มข้น ' หรือ ' สลีปปิ้งมาส์ก ' สูตร Oil-free ไม่ก่อเกิดการอุดตัน ทาผิวหน้า เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นไปจนถึงเช้า แค่ทาเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทาสกินแคร์ค่ะ
ุอย่างไรก็ตาม ครีมตัวนี้มีหน้าที่ ' กักเก็บความชุ่มชื้น ' เป็นส่วนใหญ่ จึงควรใช้กับเซรั่มเสมอ เพื่อซ่อมผิวให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด และควรทดสอบอาการแพ้กับท้องแขน ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ก่อนทาบนผิวหน้าจริงๆ นะคะ ^^

หากเป็นฤดูร้อน ก็ไม่จำเป็นต้องทาสกินแคร์หลายขั้นตอน ทาแค่สิ่งสำคัญอย่างเซรั่ม เลือกเป็นเนื้อบางๆ ไม่เหนอะผิว ใช้สูตรที่ให้ความเย็นสดชื่น ฤดูฝนที่มลภาวะเยอะ ก็เน้นสกินแคร์ป้องกันฝุ่น เนื้อสัมผัสกลางๆ ไม่หนาจนเกินไป และฤดูหนาวก็เลือกครีมบำรุงเนื้อเข้มข้น ทาให้ครบทั้งเซรั่ม ครีม แต่สิ่งที่ต้องใช้เสมอไม่ว่าฤดูไหน คือทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม สครับหน้า และมาส์กหน้าสัปดาห์ละครั้งนะคะ รับรองผิวดีชัวร์ ^^

ดังนั้นอย่าลืม! จิบน้ำเปล่าเรื่อยๆ ให้ได้ปริมาณ 1.5-2 ลิตร ต่อวัน และสามารถกินผักผลไม้ที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำสูง เช่น ผักโขม แตงกวา มะเขือเทศ แตงโม ส้ม etc. และอาการที่มีกรดไขมันดีควบคู่ไปด้วย เพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น อิ่มฟู ไม่แห้งกร้าน ใครไม่ค่อยดื่มน้ำในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เพิ่มการจิบน้ำเข้าไปแต่ละมื้ออาหารดูนะคะ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน เท่านี้ก็เตรียมผิวสวยได้เลย (≧◡≦) ♡

ถ้าสาวๆ คนไหนพอจะมีกำลังทรัพย์หน่อย อยากควบคุมความชื้นในห้องให้พอดี ไม่แห้งจนเกินไป เราแนะนำให้ลงทุนกับ ' เครื่องทำความชื้น ' หรือ humidifier ที่จะมีลักษณะเป็นเครื่องเล็กๆ ที่ฉีดน้ำออกมา เพื่อให้อากาศโดยรวมยังชุ่มชื้นอยู่ ไม่แห้งจนผิวแตก ขาดน้ำ โดยเอาไปวางในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ในออฟฟิศที่ทำงาน ก็ช่วยบำรุงผิวได้ทางอ้อมแล้วล่ะค่ะ!
แอบกระซิบว่า ถ้าใครงบน้อย แต่ไม่อยากให้อากาศแห้ง อีกวิธีคือหาแก้วหรือชาม เทน้ำลงไปให้เต็ม แล้ววางไว้มุมหนึ่งในห้อง เพื่อให้น้ำระเหยออกมาเป็นความชุ่มชื้น ก็พอจะช่วยได้เหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพอาจจะไม่ดีเท่าใช้เครื่องโดยตรงนะคะ

การมีวินัย ดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น สุขภาพดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ผิวยังนุ่มเด้ง เรียบเนียนไปจนถึงเวลาเราอายุมาก ผิวของสาวๆ ก็จะดูเด็กกว่าวัย ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มสุดๆ ค่ะ (*¯ ³¯*)♡
-------------------------------
อ่านมาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่า ผิวแห้ง กับผิวขาดน้ำ มีเส้นบางๆ คั่นอยู่! ทั้งสองอย่างนี้ อาการผิวบางอย่างเหมือนกัน แต่จะมีการบำรุงบางข้อที่ผิวขาดน้ำต้องใส่ใจดูแลกว่าเป็นพิเศษ (´ ω `♡) แค่เธอทำตามขั้นตอน และทริคในบทความนี้ แม้จะไม่ได้ผิวดีแต่เกิด เธอก็มีผิวชุ่มชื้น ฉ่ำวาว อิ่มน้ำได้ ( ในทางกลับกัน คนผิวดี ผิวปกติ ถ้าไม่ดูแลผิวเลย ระยะยาวผิวก็แย่ได้ บำรุงไว้ก่อนดีที่สุดเนอะ! ) หวังว่าบทความนี้จะเป็นข้อมูลดีๆ ให้สาวซิสได้น้า วันนี้ไปละค่า บ๊ายบายยย
Comments