1. SistaCafe
  2. ลดหน้าท้องเร่งด่วน 1 อาทิตย์ แผน 7 วันให้เอวแบน ฟิตทันใจ

ก้มมองพื้นทีไรเจอแต่พุงป่อง ๆ ของตัวเองทุกที ท็อปปิกที่เรานำมาชวนพูดคุยกันครั้งนี้ก็คือปัญหาเรื่องรูปร่างสำหรับคนที่มีหน้าท้อง หรือพุงป่องๆ ยื่นล้ำหน้านั่นเองค่ะ ต่อให้จะเป็นคนเพศไหน หรืออายุเท่าไหร่ ก็สามารถเจอกับปัญหาไขมันสะสมที่บริเวณหน้าท้องจนกลายเป็นพุงย้วยๆ ได้ทั้งนั้น นอกจากจะทำให้รู้สึกอึดอัดแน่นตัวแล้วยังเป็นอุปสรรคต่อการแต่งตัว เพราะต้องคอยหาเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ มาใส่อำพรางพุงอีกต่างหาก แต่อย่าเพิ่งนอยด์แตกกันไปก่อน สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนยังไม่รู้คือมีวิธีสลายพุงง่ายกว่าที่คิด พาไปส่อง How to ลดหน้าท้องเร่งด่วน 1 อาทิตย์ ฉบับทำตามได้ ปลอดภัยไม่โยโย่ มาให้ได้ลองทำตามกัน ขอเพียงแค่เพื่อน ๆ รู้จักหน้าท้องของตัวเองให้ดี และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของตัวเองเพียงเล็กน้อยก็ช่วยสลายพุงให้กลายเป็นหน้าท้องแบนเรียบได้นะ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

Profile picture of parae

parae

บรรณาธิการ/Supervisor

Content Manager

นักคิดนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านเนื้อหาบิวตี้ ไลฟ์สไตล์ และสุขภาพในออนไลน์กว่า 10 ปี

พุงป่อง เกิดจากอะไร ?

รู้มั้ยว่าการที่หน้าท้องยื่นหรือที่เราเรียกกันว่าพุงป่องมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน บางคนอาจเกิดขึ้นแบบฉับพลัน ภายใน 1 อาทิตย์หรือ 2-3 วัน แต่บางคนก็อาจเกิดจากการสะสมมานาน เรามาดูกันว่าหน้าท้องที่เกิดขึ้นเป็นไขมันในช่องท้องจนเรียกว่าพุงได้นั้นมีแบบใดบ้าง

พุงมีกี่แบบ สาเหตุจากอะไรบ้าง

พุงที่ต่างกันเกิดจากสาเหตุที่ไม่เหมือนกันและมีวิธีการลดที่แตกต่างกัน ซึ่งการรู้จักพุงแต่ละประเภทจะช่วยให้แก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

  1. พุงหมาน้อย: เกิดจากการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง หรืออาหารที่มีแป้งมากจนเกินไป รวมถึงพฤติกรรมการนั่งอยู่ท่าเดิมนาน ๆ ไม่ลุกเปลี่ยนอิริยาบถ
  2. พุงกลม หรือพุงเบียร์: เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง และมีแก๊สในกระเพาะมาก
  3. พุงคนท้อง: เกิดจากกล้ามเนื้อหน้าท้อง และผิวหนังยืดออกจากการตั้งครรภ์ แล้วยังไม่กลับสู่ขนาดปกติ รวมถึงฮอร์โมนยังไม่สมดุล
  4. พุงเครียด: เกิดจากความเครียดเรื้อรัง เนื่องจากฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงขึ้น รวมถึงมีการพักผ่อนไม่เพียงพอ และกินจุกจิกมากเกินไป
  5. พุงท้องอืด ท้องเฟ้อ: เกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี การกินอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส และกินเร็วเกินไป ทำให้มีอากาศเข้าร่างกายมาก

คราวนี้ก็พอจะรู้จักพุงแต่ละประเภทกันแล้ว สำหรับใครที่อยากรู้ต่อว่าแล้วพุงแต่ละประเภทหน้าตาประมาณไหน ลดยังไงถึงจะได้ผล หาคำตอบกันต่อได้ที่บทความด้านล่างนี้เลย


ลดพุงภายใน 7 วัน ทำได้จริงไหม ?

คำถามโลกแตกที่ใคร ๆ ก็อยากรู้ หากอิงตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว คงต้องตอบตรง ๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้” ค่ะ ข้อมูลจากงานศึกษาของ Max Wishnofsky นายแพทย์ชาวอเมริกันผู้มีบทบาทสำคัญในวงการลดน้ำหนัก พบข้อสรุปว่า 1 ปอนด์ หรือประมาณ 0.45 กิโลกรัม จำเป็นต้องเผาผลาญพลังงานออกไปให้มากกว่าที่รับเข้ามา (Calorie Deficit) ประมาณ 3,500 แคลอรี ดังนั้นหากคำว่าลดพุงหมายถึงการลดไขมัน แต่การจะลดไขมันในร่างกาย 1 กิโลกรัมได้นั้นต้องเผาผลาญพลังงานออกไปมากถึงประมาณ 7,700 แคลอรี่ ซึ่งเป็นปริมาณที่มากและไม่ปลอดภัยนักหากจะทำให้สำเร็จภายในหนึ่งสัปดาห์

"While you may see a flatter stomach in a week from reduced bloating and water retention, you are not losing any significant amount of belly fat. The body can't metabolize that much fat in such a short period. True fat loss is a much slower process." - Dr. Kire Stojkovski, M.D. (นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์การแพทย์และการวิจัย)

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงคือ ภายใน 7 วัน เราอาจรู้สึกว่า "พุงยุบ ตัวบวมน้อยลง หรือหน้าท้องแบนราบขึ้น" ได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่าง การสูญเสียน้ำในร่างกาย ที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนอาหารอย่างจริงจัง ทำให้ร่างกายขับน้ำส่วนเกินออกไปได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ที่ช่วยลดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร ทำให้หน้าท้องที่เคยอืดแน่นดูแบนราบลงได้ หรือลดปริมาณการทานอาหาร เน้นอาหารย่อยง่าย จะทำให้มีกากใย และอาหารตกค้างในลำไส้ลดลงชั่วคราวได้ ถ้าเป็นลดพุงเร่งด่วนในกรณีนี้ ถือว่าเกิดขึ้นได้จริงค่ะ


คลิปนี้ของโค้ชเคจากช่อง Fitterminal จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นว่า ไขมัน 1 กิโลกรัม เท่ากับกี่แคลอรี หรือหากเราต้องการลดน้ำหนักสัก 1 กิโลกรัม เราจะต้องเผาผลาญแคลอรีมากแค่ไหน ? จำเป็นต้องลดการกิน หรือออกกำลังกายไหม ? พร้อมฮาวทูการลดไขมันที่ถูกวิธีว่าต้องทำยังไงบ้าง ?

เคล็ดลับ ลดหน้าท้องใน 7 วัน แบบผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

เมื่อพุงเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมสลายได้ แต่ทริกหนึ่งที่สำคัญมากคือการปรับพฤติกรรมให้ครบทุกด้านทั้งการเลือกอาหาร การออกกำลังกาย การดื่มน้ำ และการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ โดยที่เราต้องทำทุกอย่างนี้วนไปสม่ำเสมอในระยะเวลาหนึ่งจึงจะเห็นผลสำเร็จได้อย่างแน่นอน จะมีสิ่งใดที่เราต้องโฟกัสใน 7 วัน บ้าง เตรียมตัวทำวนไปกันได้เลย


1. วินัย คือคีย์สำคัญในการลดหน้าท้อง 

เริ่มข้อแรก เรามาพูดถึงความจริงที่หลายคนทำใจไม่ได้ก่อนเลยว่า ไม่มีทางลัดไหนที่ดีไปกว่า 'การมีวินัย' ด้วยการทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นก็คงจะเห็นผลได้ยากหรืออาจเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืนได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาเข้าใจความมีวินัยแบบใหม่กันค่ะ

📌วินัย ไม่ได้หมายถึง การเข้มงวดกับตนเองจนไม่มีความสุข แต่หมายถึง การสร้างนิสัย หรือ ฝึกทำบางสิ่งบางอย่างให้เป็นกิจวัตร โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์หรือแรงใจ

สร้างวินัย ต้องทำยังไง ?

สามารถทำได้ด้วย การมีตารางเวลาของตัวเองที่ชัดเจน มีเวลาตื่นนอน ทานข้าว ออกกำลังกาย และเข้านอนที่เป็นเวลา ซึ่งเมื่อร่างกายของเราเริ่มปรับจังหวะชีวิตประจำวันได้ จะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความหิว การเผาผลาญ และการนอนหลับ

นอกจากนี้ก็ยังสามารถฝึกตัวเองได้ด้วยการทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ทุกครั้งที่รู้สึกอยากทานขนมขบเคี้ยว ของว่าง ลองถามตัวเองดูก่อนค่ะว่า เราหิวจริง ๆ หรือแค่อยากกินกันแน่ ? ถ้าคำตอบคือหิว แนะนำว่าให้ทานอาหารที่มีโปรตีนหรือไฟเบอร์สูง แคลฯน้อย เช่น ไข่ต้ม แอลมอนด์ หรือแอปเปิล แต่ถ้าแค่ไม่อยากให้ปากว่าง แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่า หรือเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาลแทนค่ะ

ข้อควรระวัง

⚠️ ควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกินขีดจำกัดของร่างกายจนเกิดเป็นผลเสียแทน หากมีอาการวิงเวียนศีรษะ เหนื่อยมากกว่าปกติ อาจแปลได้ว่าเพื่อน ๆ กำลังทานอาหารน้อยเกินไป โหมออกกำลังกายมากเกินไป หรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอได้ค่ะ รวมถึงไม่ควรเข้มงวดกับตัวเองจนทำให้ไม่แฮปปี้น้า อย่าโทษตัวเองหากไม่สามารถทำได้ตามเป้า ไม่เป็นไรเลยค่ะพรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่ก็ยังได้ 🌷

Tips:

  • เลือกเป้าหมายเดียวที่ง่ายที่สุดก่อน เพราะจะทำให้เรารู้สึกว่าควบคุมได้ สร้างความมั่นใจ และทำให้รู้สึกง่ายขึ้นเมื่ออยากจะเพิ่มการฝึกฝนนิสัยใหม่ ๆ
  • จัดพื้นที่ให้พร้อม ไม่ควรซื้อขนมที่ไม่ได้โภชนาการตุนเก็บไว้ เพราะยิ่งเห็นเราก็ยิ่งอยากกิน ลองเปลี่ยนมาเป็นซื้อขนมที่ให้โภชนาการสูง เช่น โปรตีนหรือไฟเบอร์สูงจะแทน หรือการจัดมุมออกกำลังกายที่น่ารัก ผ่อนคลาย เห็นได้ง่าย
  • มีระบบให้รางวัลตัวเอง เช่น เมื่อทำได้ครบตามแผน เราก็อาจให้รางวัลตัวเองได้ด้วยสิ่งที่ไม่ใช่อาหารอย่าง การดูหนังที่ชอบ ซื้อของที่กดไว้ในตะกร้า หรือออกไปนวดตัวเพิ่มความผ่อนคลาย เป็นต้น

2. ดื่มน้ำเปล่าให้พอ สลายพุงไว

“ น้ำเปล่า ” ที่ทั้งหาซื้อง่าย ราคาไม่แพง และดื่มแล้วช่วยดับกระหายได้ดีสุด ๆ ก็เป็นหนึ่งในทริคสำหรับคนที่อยากลดพุงด้วยเหมือนกันนะ เพราะการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายเท่านั้น ยังช่วยเสริมให้หุ่นสวยเพรียวไร้พุงด้วย น้ำในร่างกายช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากกว่าคนที่ดื่มน้ำน้อย ทั้งยังช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลง ทำให้ถ่ายท้องง่ายขึ้น และขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำ นอกจากนี้การดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วก่อนกินข้าวจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและลดปริมาณแคลอรีในแต่ละมื้ออาหารลงได้

ทริคดื่มน้ำตามน้ำหนักตัว ทำยังไง ?

เชื่อว่า หลาย ๆ คนก็คงจะไม่รู้ว่าตัวเองควรดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอดีใช่มั้ยล่ะคะ ? ใช่ว่าทุกคนจะต้องดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตรนะคะ โน้วโนว ! เพราะคนน้ำหนักตัวต่างกันก็ต้องการน้ำในปริมาณที่ต่างกันค่ะ ซึ่งเราสามารถคำนวณได้เองง่าย ๆ ด้วยสูตรนี้เลย

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวัน (มิลลิลิตร) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) x 30

ยกตัวอย่าง ถ้าเพื่อน ๆ มีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กิโลกรัม ควรดื่มน้ำในปริมาณ 50 x 30 = 1,500 มิลลิลิตร หรือเท่ากับ 1.50 ลิตร แต่ในกรณีที่เราออกกำลังกายในวันอากาศร้อนจัด หรือทานอาหารเค็มมากกว่าปกติ ก็ควรจะดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้นประมาณ 300-700 มิลลิตรด้วย เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้ทำทริคนี้คู่กับการจัดตารางดื่มน้ำ หรือทริคฝึกดื่มน้ำให้เป็นเวลา เพราะการจิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่า และไม่ทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากการดื่มน้ำมากเกินไปในเวลาอันสั้น

🕔 หลังตื่นนอน ดื่ม 1-2 แก้วทันที ช่วยกระตุ้นลำไส้ ขับถ่ายง่ายขึ้น

🕔 ทุก ๆ ครั้งก่อนมื้ออาหาร ดื่ม 1 แก้วก่อนทานมื้ออาหาร 30 นาที จะช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น อิ่มเร็ว กินน้อยลง

🕔 ช่วงสาย จิบ 2-3 แก้วเรื่อย ๆ ช่วยลดความอยากขนมขบเคี้ยวที่ไม่จำเป็น

🕔 ช่วงบ่าย จิบอีก 2-3 แก้ว เพิ่มความสดชื่น แก้อาการง่วงหลังทานข้าว

🕔 หลังอาหารเย็น-ก่อนนอน จิบ 1-2 แก้ว เพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้น แต่ควรเลี่ยงการดื่มน้ำปริมาณมากก่อนนอน เพราะอาจทำให้ตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำจนกลายเป็นนอนไม่พอสะสมได้

ข้อควรระวัง

⚠️ ไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมากในครั้งเดียว เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินในร่างกาย (Water Intoxication) ซึ่งจะทำให้ระดับโซเดียมในเลือดเจือจางจนส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ ไปจนอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว บอกเลยว่าไม่ใช่แค่คำขู่นะคะ เคสจริงมีมาแล้ว ! อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับสาวแคลิฟอร์เนียคนหนึ่ง ที่เสียชีวิตหลังดื่มน้ำปริมาณมากถึง 7.5 ลิตรใน 3 ชั่วโมงหลังการแข่งขัน รวมไปถึงนักวิ่งมาราธอนหลายคนที่ดื่มน้ำมากเกินไประหว่างวิ่ง จนทำให้หมดสติ หรือชักกลางสนามแข่ง

Tips:

  • เลือกขวดน้ำที่ชอบ มีเส้นบอกปริมาณ ช่วยสร้างแรงจูงใจให้อยากหยิบดื่มมากขึ้น
  • วางในที่ที่เห็นง่าย เพราะเมื่อเห็นแล้วก็จะนึกถึงบ่อย ดื่มบ่อยตามไปด้วย
  • เติมรสชาติให้อยากดื่ม เช่น ใส่มะนาว สตรอว์เบอร์รี หรือใบมินต์
  • ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย เช่น แอปช่วยเตือนให้ดื่มน้ำอย่าง WaterMinder หรือ Waterful เป็นต้น

3. ลดแป้ง ลดน้ำตาล ลดหน้าท้องได้ไว

ขนมปังนุ่ม ๆ ก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน ชานมไข่มุก ของกินเหล่านี้ถึงจะอร่อยแค่ไหนก็ต้องห้ามใจไว้ ! เพราะแป้งขาว และน้ำตาลนี่แหละค่ะ ที่เป็นตัวการหลักทำให้พุงย้วยไว เนื่องจากร่างกายจะย่อยเป็นกลูโคสได้เร็วมาก ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงแล้วตกลงอย่างรวดเร็ว ตับอ่อนเลยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลินมาก ๆ เพื่อลดระดับน้ำตาล โดยนำกลูโคสไปเก็บเป็นไขมันโดยเฉพาะที่หน้าท้อง เพราะฉะนั้นใครลดพุงแบบเห็นผลไว ยังไงก็ต้องทำข้อนี้จ๊ะ ! แต่ไม่ใช่ว่า ต้องงดคาร์บหมดนะคะ เพียงแต่แนะนำให้เปลี่ยนเป็นทานคาร์บที่ดีกว่าแทน ได้แก่ แป้งขาว ➡️ แป้งไม่ขัดสี / ข้าวขาว ➡️ ข้าวโอ๊ต หรือข้าวไรซ์เบอร์รี / ขนมปังขาว ➡️ ขนมปังโฮลวีท เพราะคาร์บเชิงซ้อนเหล่านี้มีไฟเบอร์สูง ย่อยช้า ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง ทำให้อิ่มท้องนาน และไม่สะสมไขมันง่าย รวมถึงการเลือกทานผลไม้สดแทนน้ำหวาน เช่น แอปเปิล ส้ม เบอร์รี หรืออาจใช้น้ำผึ้งเพิ่มความหวานแทนน้ำตาล แต่ ๆ ๆ ก็อย่าให้มากเกินไปล่ะ !

ข้อควรระวัง

⚠️'ลด' ไม่ใช่ 'งด' เพราะการตัดคาร์บหมดทันทีจะทำให้ร่างกายของเราเข้าสู่ Ketosis หรือภาวะที่ร่างกายเปลี่ยนมาใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักแทน คาร์โบไฮเดรต โดยอาจมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น อ่อนเพลีย, กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย, ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้บูด หรือมีปัญหาการย่อยอาหาร ซึ่งจะไม่เหมาะกับคนที่ออกกำลังกายหนัก หรือมีโรคประจำตัว อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก วิงเวียน ปวดหัว หรือหงุดหงิดง่ายขึ้น เป็นกลุ่มอาการที่เรียกว่า "Keto Flu" นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิง ทำให้ประจำเดือนไม่ปกติได้ค่ะ วิธีที่เซฟและเฮลตี้ แนะนำให้ใช้วิธีลดคาร์บลงแทน จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ และทำต่อเนื่องได้นาน

Tips:

  • ฝึกอ่านฉลากสินค้า เพื่อดูปริมาณน้ำตาล แนะนำไม่ควรเกิน 5-10 กรัม
  • กินช้า ๆ เคี้ยวให้ดี เพราะจะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น โดยไม่ต้องทานแป้งมากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงซอสหวาน ไม่ว่าจะเป็นซอสมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม หรือซอสสลัด พวกนี้มีน้ำตาลแฝงเยอะ !
  • ใช้จานเล็กกว่าเดิม เป็นทริคหลอกสมองให้รับรู้ว่า เราทานไปเยอะแล้ว ถึงแม้ว่าจริง ๆ ปริมาณอาหารอาจน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ


4. ลดไขมันไม่ดี เพิ่มไขมันดี ก็มีหน้าท้องที่สวยได้

มีหลายคนเลยค่ะที่เข้าใจผิดว่า การกินไขมัน = อ้วน แต่ความจริงแล้ว ไขมันมีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งไขมันดีจะช่วยลดการอักเสบ เพิ่มการเผาผลาญและทำให้อิ่มท้องนาน แต่สำหรับไขมันไม่ดีจะเป็นเพิ่มคอเลสเตอรอล ทำให้อ้วนออกพุง และเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจได้

ดังนั้นทางที่ดีแนะนำให้เลี่ยงเจ้าไขมันไม่ดีก่อนเลยค่ะ ทั้งอาหารทอด ขนมอบ มาการีน ครีมเทียม หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะมันจะทำให้คอเลสเตอรอลดี (HDL) ลดลง และมีคอเลสเตอรอลเลว (LDL) เพิ่มขึ้นแล้วไปสะสมไขมันที่หน้าท้องได้ง่ายมาก ยิ่งร่างกายย่อยไขมันทรานส์ยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ค้างอยู่ในเลือดนานและอุดหลอดเลือดได้

ต่อมาเน้นเลือกทานไขมันดีให้มากขึ้น เช่น อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์ หรือน้ำมันมะกอก ที่จะช่วยลดคอเลสเตอรอลไม่ดี เพิ่มคอเลสเตอรอลดีได้ รวมถึงโอเมก้า-3 ที่พบในปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ และวอลนัท ก็ช่วยลดไขมันในช่องท้อง และเพิ่มการเผาผลาญได้เช่นกัน

ข้อควรระวัง

⚠️ระวังไขมันดีก็มีแคลอรีสูงนะถ้ากินไม่ยั้งก็อ้วนได้เหมือนกัน ! ถึงแม้อะโวคาโด ถั่ว และน้ำมันมะกอกจะเป็นไขมันดี แต่มันก็มีแคลอรีสูงมาก โดยมีแคลอรีอยู่ที่ประมาณ 9 แคลอรีต่อ 1 กรัม (มากกว่าโปรตีนและคาร์บที่มีแค่ 4 แคลอรีต่อ 1 กรัม) ดังนั้นจึงแนะนำให้กินไขมันดีประมาณ 20-30% ของแคลอรีทั้งหมดต่อวันก็เพียงพอแล้วค่ะ ตัวอย่างเช่น อะโวคาโดครึ่งลูก มีประมาณ 120 แคลอรี, ถั่วอัลมอนด์ 1 กำมือมีประมาณ 160 แคลอรี หรือ ใส่น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ จะมีประมาณ 120 แคลอรี นอกจากเลือกกินดีแล้ว ก็ต้องกินอย่างพอดีด้วยนะคะ

Tips:

  • ลดทอดอาหาร เปลี่ยนมาใช้วิธีทำอาหารด้วย การต้ม นึ่ง ปิ้ง อบ หรือ Air Fry แทน
  • ตัดส่วนหนังไก่ออก เพื่อจะได้ไขมันที่น้อยลง เนื่องจากไขมันส่วนใหญ่อยู่ที่หนังไก่
  • หลีกเลี่ยงขนมอบสำเร็จรูป ที่มีไขมันทรานส์สูง

5. เพิ่มโปรตีนในอาหาร ช่วยลดหน้าท้องได้ดี

เรียกได้ว่า ข้อนี้คือ MVP ของทริคลดพุง เพราะนอกจากจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อแล้ว ยังเพิ่มการเผาผลาญ ทำให้อิ่มนานที่สุด และที่สำคัญคือ ช่วยลดความอยากอาหารโดยเฉพาะของหวานได้ด้วย โปรตีนยังช่วยในการรักษากล้ามเนื้อในขณะที่เรากำลังลดน้ำหนัก เพราะตอนเรากินแคลอรีน้อยร่างกายอาจเผาผลาญกล้ามเนื้อไปด้วย ดังนั้นถ้าไม่ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ กล้ามเนื้อลดลง การเผาผลาญก็จะช้าลงตามไปด้วยค่ะ คราวนี้เรามาคำนวณโปรตีนที่ต้องการในแต่ละวันกัน

โปรตีนที่ร่างกายต้องการต่อวัน (กรัม) = น้ำหนักตัว (กก.) x 1.6-2 กรัม

ตัวอย่างถ้าเราน้ำหนัก 50 กิโลกรัม จะคำนวณได้ว่า 50 x 1.6-2 เท่ากับว่า เราควรกินโปรตีน 80-100 กรัม/วัน แต่ในกรณีออกกำลังกายหนัก หรือต้องการสร้างกล้ามเนื้อ อาจเพิ่มเป็น 2-2.5 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กก. ก็ยังได้ค่ะ ทั้งยังควรกระจายโปรตีนให้ครบในทุกมื้อ ช่วยให้อิ่มนานตลอดวัน ไม่หิวจุกจิก และช่วยรักษากล้ามเนื้อได้ดีกว่าการกินโปรตีนทีละมาก ๆ ในมื้อเดียว

ข้อควรระวัง

⚠️ใช่ว่าโปรตีนทุกชนิดจะดีต่อสุขภาพ โปรตีนจากเนื้อแปรรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เบคอน แหนม หรือหมูยอเอย ถึงจะมีโปรตีนก็จริง แต่เพื่อน ๆ จะได้ของแถมตัวร้ายอย่าง ไขมันอิ่มตัว โซเดียม และสารกันบูดที่ไม่ดีต่อสุขภาพมาด้วยค่ะ รวมไปถึงการเลือกโปรตีนเชคต้องระวังบางยี่ห้อที่มีน้ำตาลมากเกินไป ควรเลือกแบบ Whey Protein Isolate ที่ไม่มีน้ำตาลจะดีกว่าค่ะ

Tips:

  • เริ่มวันด้วยเมนูไข่ ไม่ว่าจะต้ม หรือลวก เท่านี้ก็ได้โปรตีนประมาณ 14-21 กรัมแล้ว
  • ดื่มโยเกิร์ตกรีกแทนนมสด เพราะโยเกิร์ตกรีก 1 ถ้วย มีโปรตีนมากถึง 15-20 กรัม
  • กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เห็นแบบนี้ ปลาก็มีโปรตีนสูงเหมือนกันนะ ถ้าเทียบ 100 กรัมจะมีโปรตีนประมาณ 20-25 กรัมเลยละค่ะ
  • ใส่ชีสในสลัด อย่าง ชีสคอทเทจ ชีสโมซาเรลลา ช่วยเพิ่มให้มื้อนั้นมีโปรตีนสูงขึ้นได้

6. เวทเทรนนิ่ง ขยับร่างกาย ออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ

หลายคนคิดว่า ถ้าอยากลดพุงจะต้องคาร์ดิโอใช่มั้ยล่ะคะ ? ที่จริงก็เป็นแนวทางที่ดี แต่ความจริงแล้ว เวทเทรนนิ่ง หรือการฝึกกล้ามเนื้อไปด้วยจะช่วยได้ดีที่สุด เพราะกล้ามเนื้อจะเผาผลาญแคลอรีตลอดเวลาแม้ขณะตอนเราพัก ยิ่งกล้ามเนื้อเผาผลาญเร็วก็ช่วยให้ลดพุงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปรับรูปร่างให้กระชับ แน่น แข็งแรงมากขึ้น ไม่ใช่ผอมแต่เนื้อย้วยหย่อนยาน ที่สำคัญคือช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อขณะลดน้ำหนัก ทำให้เราเผาผลาญไขมันแทนกล้ามเนื้อได้อีกด้วย

สำหรับมือใหม่ไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ราคาแพงค่ะ เริ่มจากน้ำหนักตัวเองก่อนก็ได้ ไม่ว่าจะเริ่มด้วยท่า Push-up, Squat, Lunge, Plank หรือถ้ามีดัมเบลที่บ้านก็ใช้ได้เลยค่ะ เริ่มจากน้ำหนักเบา ๆ ก่อน ประมาณ 2-5 กิโลกรัม แล้วค่อย ๆ เพิ่มเมื่อเราไหว แนะนำให้เล่นทั้งตัวแบบ Full Body สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30-45 นาที เน้นกล้ามเนื้อใหญ่ก่อน เช่น ขา หลัง อก ไหล่ แล้วค่อยเล่นกล้ามเนื้อเล็ก เช่น แขน ท้อง เพราะการเล่นกล้ามเนื้อใหญ่จะเผาผลาญได้มากกว่า และมีประสิทธิภาพสูงกว่านั่นเอง

ท่าเวทเบื้องต้น มีอะไรบ้าง ?

💪🏼Squat (ขาและก้น) ยืนเท้าห่างไหล่ ก้นถอยหลัง ย่อตัวลงเหมือนจะนั่งเก้าอี้ แยกเข่าไม่เกินปลายเท้า ย่อขึ้นและลงช้าๆ💪🏼Push-up (อก แขน) นอนคว่ำ มือวางแนบพื้นห่างกันระดับเดียวกับไหล่ เกร็งบริเวณหน้าท้อง ดันตัวขึ้นลงตรงๆ 💪🏼Plank (Core) นอนคว่ำ เหยีดตัวยาว ดันตัวขึ้น ใช้ข้อศอกและเท้าเป็นจุดรองรับน้ำหนัก เกร็งหน้าท้องให้ตัวตรง หย่อนได้เล็กน้อย ไม่ต้องเกร็งจนเกินไป💪🏼Dumbbell Row (หลัง) ตั้งท่ายืน โน้มตัวไปข้างหน้า ดึงดัมเบลขึ้นมาที่ด้านข้างลำตัวในท่ากางแขน ทำทีละข้างหรือสองข้างพร้อมกันก็ได้💪🏼Shoulder Press (ไหล่) ยืนหรือนั่ง ยกดัมเบลขึ้นเหนือศีรษะ ทำทีละข้างหรือสองข้างพร้อมกันก็ได้

ข้อควรระวัง

⚠️วันพักร่างกายก็สำคัญไม่แพ้วันออกกำลังกาย ถ้าเราเล่นเวททุกวันโดยที่ไม่พักเลยกล้ามเนื้อจะไม่มีเวลาซ่อมแซมตัวเองค่ะ มันจะอ่อนแอลงและเสี่ยงบาดเจ็บได้ ดังนั้นควรพักอย่างน้อย 1-2 วันต่อสัปดาห์ หรือสลับเล่นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แทน

สำหรับใครที่สงสัยว่าเราจะรูได้ยังไงว่า เรา Overtraining เกินไปแล้ว เช็กง่าย ๆ ตามอาการเหล่านี้เลย เช่น

  • เราเหนื่อยตลอดเวลาไหม ?
  • นอนไม่หลับบ้างหรือเปล่า ?
  • หงุดหงิดง่ายกว่าเดิม ?
  • หรือเริ่มไม่อยากออกกำลังกาย น้ำหนักไม่ลง หรือน้ำหนักขึ้นแทน

ถ้าเจอเคสแบบนี้ แนะนำให้เพื่อน ๆ พักการเวทก่อนเลยค่ะอย่างน้อย 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ก็ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ทันทีน้า การออกกำลังกายต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ ส่วนใน 1 สัปดาห์แรก ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอาจยังไม่มาก แต่เราจะรู้สึกว่าร่างกายกระชับและมีพลังงานมากขึ้นแน่นอนค่ะ

Tips:

  • ค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักไป เมื่อเริ่มทำได้ง่าย ให้ลองเพิ่มน้ำหนักอุปกรณ์ประมาณ 10-20%
  • เล่น 3-4 เซต เซตละ 8-12 ครั้ง เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมัน
  • พักระหว่างเซต 60-90 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว แต่ไม่นานจนขี้เกียจออกท่าต่อไป
  • กินโปรตีนหลังออกกำลังกาย ภายใน 1-2 ชั่วโมง ช่วยซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ

7. จัดการความเครียด ลดพุงเร่งด่วนได้ดีกว่าที่คิด

รู้ไหมว่า “ความเครียด” ก็เป็นตัวการที่ทำให้อ้วนง่ายได้เหมือนกันนะ ถือเป็นภัยเงียบที่บ่อนทำลายสุขภาพ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดสารพัดโรคร้ายต่างๆ ขึ้นได้เลยทีเดียว สาเหตุที่ความเครียดทำให้อ้วนง่ายหรือน้ำหนักขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวก็เป็นเพราะช่วงเวลาที่รู้สึกเครียดร่างกายจะหลั่ง “คอร์ติซอล” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” ออกมา ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะกระตุ้นความอยากอาหารและทำให้รู้สึกหิวง่ายขึ้น พอยิ่งเครียด ยิ่งกิน ก็จะยิ่งทำให้พุงยื่นล้ำหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ รู้แบบนี้แล้วก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดความเครียดสะสม ต้องไม่ลืมหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายตัวเองจากเรื่องเครียด ๆ บ้าง เหมือนกับที่นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสตรี Dr.Marilyn ได้กล่าวไว้ว่าถ้าการลดไขมันหน้าท้องได้ดี การจัดการความเครียดสำคัญพอๆ กับการคุมอาหารเลยล่ะค่ะ

"Managing your stress is as crucial as managing your diet when it comes to losing belly fat. Techniques like mindfulness, meditation, or even simple deep breathing can lower cortisol levels and help switch your body from fat-storing mode to fat-burning mode." - Dr. Marilyn Glenville, Ph.D. (นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสตรี)

ข้อควรระวัง

⚠️ระวังการกินแก้เครียด หรือ Stress Eating เพราะเวลาที่เราเครียด สมองมักจะหลอกให้คิดว่าการกินจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ เนื่องจากมีน้ำตาลและไขมันที่ช่วยกระตุ้นสารความสุขในสมอง แต่หากเสพย์ติดการกินแก้เครียดไปเรื่อย ๆ จะกลายเป็นร่างกายจดจำว่า "กิน = ลดเครียด" ทำให้ทุกครั้งที่เครียด เราจะรู้สึกอยากกินนั่นเองค่ะ ดังนั้นลองถามตัวเองก่อนว่า หิวจริงไหม หรือแค่เครียด ? ถ้าไม่ได้หิวจริง ๆ แนะะนำลองหาอย่างอื่นทำแทน เช่น ลุกขึ้นเดินผ่อนคลาย ดื่มน้ำเปล่า พูดคุยกับคนรอบข้าง หรือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ

Tips:

  • ฝึกหายใจเข้า-ออกลึก ๆ โดยการใช้หลักการหายใจแบบ 4-2-6 คือ หายใจเข้า 4 วินาที กลั้นไว้ 2 วินาที แล้วหายใจออกยาว 6 วินาที ทำระหว่างวันเรื่อยๆ ได้เลย
  • ฝึกทำสมาธิทุกวัน โดยไม่ต้องใช้เวลานาน อาจเพียง 10-15 นาที นั่งในท่าสบาย ๆ พร้อมตั้งสติอยู่กับลมหายใจ รู้เท่าทันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
  • จัดของจัดห้องแก้เครียด เพราะการที่ห้องรก โต๊ะรก จะทำให้รู้สึกถึงความวุ่นวาย ดังนั้นการจัดระเบียบเลยช่วยให้จิตใจเราสงบขึ้นได้
  • เขียน Journal ทุกวัน หรือเขียนบันทึก เพื่อสำรวจความคิด มุมมอง และความรู้สึกของตัวเราเองในแต่ละวัน

8. พักผ่อนให้เพียงพอ หัวใจสำคัญของการลดพุง

ใครรู้ตัวว่า ชอบนอนดึก นอนน้อย หรือนอนเกือบเช้าแทบทุกวันบ้างคะ ยกมือขึ้น!! บอกเลยว่า นอกจากจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระปรี้กระเปร่าและสมองตื้อแล้วยังอาจยิ่งทำให้น้ำหนักตัวดีดพุ่งขึ้นและเกิดเป็นเอวห่วงยางย้วยๆ ได้อีกด้วย เพราะการนอนดึกเป็นประจำจะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายมีความผิดปกติ และกระตุ้นการผลิต “ เกรลิน ” หรือ “ ฮอร์โมนความหิว ” ออกมามากขึ้นจนทำให้รู้สึกหิวบ่อยอยากกินนู่นนี่ตลอดเวลาและกินอาหารในปริมาณมากกว่าเดิม

ดังนั้นใครที่นอนดึกบ่อย ๆ ก็ต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองใหม่แล้วละค่ะ ฝึกสร้างรูทีนเข้านอนให้เป็นเวลาในทุก ๆ วัน เลี่ยงการใช้หน้าจอในช่วงก่อนนอนและนอนหลับเต็มอิ่มให้ครบ 7 – 8 ชั่วโมง ผลการวิจัยปี 2022 พบว่ากลุ่มที่ถูกจำกัดการนอน (นอน 4 ชั่วโมง) มีไขมันหน้าท้องเพิ่มขึ้นถึง 9% และไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เพิ่มขึ้น 11% อยากลดพุงให้เห็นผลก็ต้องนอนให้พอนะจ๊ะ

ข้อควรระวัง

⚠️ นอนมากไป-น้อยไป ไม่ดีทั้งนั้น ! อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า การนอนน้อย จะทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ช้ากว่า มีแนวโน้มที่อ้วนลงพุงได้ง่าย แต่เราจะมาเพิ่มเติมสำหรับคนที่ชอบนอนเยอะ ๆ ค่ะ ใช่ว่าเยอะแล้วจะดีน้า เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือต่อมไทรอยด์ทำงานช้าได้ นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายเราเฉื่อยชา ไม่สดชื่น แถมเผาผลาญช้าลงด้วย

Tips:

  • ทำห้องให้มืดสนิท ด้วยการปิดไฟ ปิดผ้าม่าน เพราะจะช่วยให้หลับได้ลึกกว่าห้องที่มีแสงเข้าง่าย
  • หลัง 2 ทุ่มห้ามดื่มคาเฟอีน เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะค้างอยู่ในร่างกายของเราถึง 6-8 ชั่วโมงเลยละค่ะ
  • อาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอน จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และเป็นการบอกสมองให้รู้ว่า ถึงเวลาเข้านอนแล้ว
  • ฟังเสียงธรรมชาติ หรือเพลงบรรเลงเบา ๆ ช่วยทำให้จิตใจสงบก่อนเข้านอน

9. เคลื่อนไหวร่างกายให้ได้ทุกวัน

เพราะการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอดวัน ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้โดยไม่รู้ตัว เรียกว่า NEAT (Non-Exercise Activity Thermogenesis) ซึ่งเป็นการขยับตัวง่าย ๆ ที่เราทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การขึ้นบันได ทำงานบ้าน ยืนทำงาน ก็สามารถเผาผลาญได้ 300-500 แคลอรีต่อวันแล้วนะ จากการสำรวจผู้คนเกือบ 8,000 คน พบว่า "การนั่งนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มโอกาสในการมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการนั่งเพียง 4 ชั่วโมงต่อวัน" เพราะการนั่งนาน ๆ จะทำให้เอนไซม์ที่ช่วยเผาผลาญไขมัน หรือ Lipoprotein Lipase ทำงานช้าลง หรือหยุดทำงานไป แต่เพียงแค่เราลุกขึ้นยืน หรือเดินเล็กน้อยก็กระตุ้นให้เอนไซม์ทำงานอีกครั้งได้แล้วค่ะ

เราอาจเริ่มฝึกง่าย ๆ ด้วยการตั้งเป้าหมายว่า ใน 1 วันว่า เราจะเดินทั้งหมดกี่ก้าว เช่น เดินให้ครบ 5,000-7,000 ก้าวก่อนเพื่อร่างกายปรับตัว อาจใช้แอปนับก้าวในมือถือ แอปบน Smart Watch ช่วยติดตาม หรือในตอนที่นั่งทำงานนาน ๆ อาจตั้งเตือนทุก ๆ 30-60 นาที เพื่อให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวบ้าง จะยืดเหยียด หรือเดินไปเติมน้ำก็ดีแล้ว รวมถึงฝึกเปลี่ยนนิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ดู เช่น จอดรถไกล ๆ ขึ้นเพื่อเดินเข้าออฟฟิศ, การใช้บันไดแทนลิฟต์, ลุกเดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงานแทนส่งแชท พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้พอรวมกันทั้งวัน ก็เผาผลาญได้ไม่น้อยเลยค่ะ

ข้อควรระวัง

⚠️อย่าทำจนเหนื่อยหรือบาดเจ็บ อะไรที่มากไปก็ล้วนไม่ดีทั้งนั้นจริงไหมคะ การเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน การเดินมากเกินไปอาจทำให้เจ็บเข่า เจ็บเท้า หรือปวดหลังได้ ถ้าเพื่อน ๆ เริ่มรู้สึกปวดข้อเข่า ข้อเท้า หรือหลังขึ้นมา ลองพักและลดระยะลงก่อนน้า เคลื่อนไหวเบา ๆ แต่บ่อยครั้งดีกว่าหักโหมจนต้องเสียเวลาพักไปหลายวันค่ะ

Tips:

  • ทำงานบ้านเป็นประจำ ไม่ว่าจะถูบ้าน กวาดบ้าน ซักผ้า ล้างจาน กิจกรรมเหล่านี้นอกจากทำให้บ้านสะอาดแล้ว ยังช่วยเผาผลาญได้ดีอีกด้วย
  • ใช้โต๊ะยืนสลับกับโต๊ะนั่ง เดี๋ยวนี้เขามีโต๊ะปรับระดับขายอย่างแพร่หลายแล้ว ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ค่ะ สำหรับใครที่มีอยู่แล้วบางช่วงก็ลองยืนทำงานดูได้น้า
  • ยืดเหยียดระหว่างวัน ยืดแขน ยืดขา บิดตัว ช่วยคลายเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลมให้ดีขึ้น


10. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย

ข้อสุดท้ายสายเมา สายตี้อาจจะทำใจได้ยาก แต่ต้องบอกกันตรงๆ ว่า แอลกอฮอล์ คือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้มีพุงเลยค่ะ โดยเฉพาะ 'เบียร์' เพราะแบบนี้เขาถึงได้มีคำเรียกกันว่า "พุงเบียร์" ยังไงละค่ะ ดังนั้นถ้าอยากมีหน้าท้องแบนลงอย่างรวดเร็วใน 1 อาทิตย์ ก็ต้อง หยุดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไปก่อนน้า เพราะแอลกอฮอล์มีแคลอรีสูงมาก 1 กรัมของแอลกอฮอล์มีถึง 7 แคลอรี ใกล้เคียงกับไขมันเลยทีเดียว

เทียบให้เข้าใจง่าย ๆ เบียร์ 1 ขวด 330 มล. มีประมาณ 150 แคลอรี, ไวน์ 1 แก้วมีประมาณ 120 แคลอรี, ค็อกเทลหวานๆ 1 แก้วอาจมีถึง 300-500 แคลอรี ดื่มไป 3-4 แก้วก็เท่ากับกินข้าวมื้อหนึ่งแล้วค่ะ แถมเมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์ไป ตับจะหยุดเผาผลาญไขมันชั่วคราวเพื่อมาจัดการกับแอลกอฮอล์ก่อน เนื่องจากร่างกายของเรามองว่าแอลกอฮอล์คือ "พิษ" ที่ต้องกำจัดทันที ฉะนั้นระหว่างนั้นไขมันจะเอาอาหารที่กินไปเก็บสะสมที่หน้าท้องโดยตรง โดยเฉพาะไขมันในช่องท้องที่อันตรายต่อสุขภาพ

ข้อควรระวัง

⚠️ระวังอาการถอน (Withdrawal Symptoms) ที่เกิดจากการหยุดดื่มแอลกอฮอล์ในทันที สำหรับคนที่ติดแอลกอฮอล์มานานควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย รวมถึงระวังการกลับมาดื่มหนักกว่าเดิมเพราะบางคนอาจคิดว่า "งั้นดื่มชดเชยหน่อยแล้วกัน" ปรากฎดื่มชดเชยกลายเป็นดื่มมากกว่าเดิมในครั้งเดียว พังนะคะแบบนี้ ! ยังไงถ้าต้องการกลับไปดื่ม ควรดื่มในปริมาณที่พอดีไม่เกิน 1-2 แก้วต่อครั้งและไม่บ่อยจนเกินไปจะดีกว่าน้า

Tips:

  • บอกคนรอบข้างให้รับรู้ และเตรียมคำปฎิเสธอย่างสุขภาพในการดื่ม เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน
  • ให้รางวัลตัวเอง ถ้างดได้ครบตามวันที่กำหนด เราอาจให้รางวัลตัวเองด้วยสิ่งของที่อยากได้ ที่เที่ยวที่อยากไปแทนการดื่มฉลอง
  • ดื่มน้ำเปล่าเรื่อยๆ บ่อยๆ เพราะจะช่วยขับสารพิษจากแอลกอฮอล์ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายได้
  • ดื่มเมนูอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นน้ำสปาร์คกลิ้ง ชาเย็นไม่หวาน หรือมอคเทล (แต่ยังไงอย่าลืมระวังเรื่องน้ำตาลด้วยนะจ๊ะ)


วิธีเลือกโปรแกรมหรือเทคโนโลยีลดหน้าท้องแบบเร่งด่วน


นอกเหนือจากเคล็ดลับที่ทำได้อย่างง่ายๆ ที่บ้าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะอย่างว่ามา ยังมีวิธีที่จะช่วยลดหน้าท้องได้ไวขึ้นนั่นคือการพึ่งกระบวนการเสริมความงามที่ช่วยลดหน้าท้องโดยเฉพาะ แต่แนะนำว่าทำเท่าที่จำเป็นและเป็นไปตามงบประมาณของตัวเองก็พอค่ะ ซึ่งโปรแกรมหลักๆ ที่นิยมใช้ในการลดหน้าท้องมีดังนี้

  • Coolsculpting การสลายไขมันส่วนเกินด้วยเทคโนโลยีความเย็น ส่งคลื่นความเย็นระดับจุดเยือกแข็งไปใต้ผิวหนังทำลายเซลล์ไขมันโดยเฉพาะให้แข็งตัวและตายไปเองโดยธรรมชาติ จากนั้นกำจัดออกผ่านระบบต่งๆตามปกติของร่างกาย ซึ่งใช้หลักการเดียวกับการนำอาหารที่มีไขมันไปแช่ตู้เย็นและจะเห็นไขมันแข็งตัวและแยกชั้นลอยขึ้นมา วิธีนี้เป็นการกำจัดได้ถาวรโดยไม่ต้องผ่าตัด มักใช้กับคนที่มีไขมันสะสมไม่เยอะมาก เช่น ค่า BMI น้อยกว่า 35 หรือคนที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น เป็นต้น

งบประมาณ 8,000-12,000 THB ต่อ 1 จุด

ข้อดี สลายไชมันโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ทยอยทำตามจุดที่ต้องการได้ มีระบบเซนเซอร์ป้องกันการเกิดผิว burn จากความเย็นจัด

ข้อเสีย ไม่เหมาะกับผู้ที่อ้วนมากเพราะการกำจัดไขมันปริมาณมากต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผล, เกิดรอยช้ำหลังทำได้ง่าย, ใช้ระยะเวลาใน 2-3 เดือนเห็นผลเต็มที่, ราคาค่อนข้างสูง


  • HIFU การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หวังผลให้ผิวกระชับขึ้น ส่วนใหญ่ใช้กับผิวหน้าบริเวณเหนียงหรือแก้มที่มีไขมันเยอะ นอกจากนั้นยังใช้ยกกระชับผิวตัว เช่น เอว หน้าท้อง สะโพก ต้นแขน/ขา ช่วยลดชั้นไขมันและเซลลูไลท์บางส่วนได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

งบประมาณ 3,000-15,000 THB ขึ้นอยู่กับการประเมินว่าต้องทำกี่จุด และขนาดจุดโฟกัสปริมาณ

ข้อดี ยกกระชับผิวโดยหัวที่ยิงหลากหลายตามระดับความลึกของผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีเวลาพักฟื้น ป้องกันผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้

ข้อเสีย เห็นผลเต็มที่ใน 3-4 เดือน, มีรอยแดงเล็กน้อยที่หายไปได้เอง, รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแบบทนได้ใต้ชั้นผิว, หากเลือกเครื่องยิงไม่ได้มาตรฐานอาจโดนเส้นประสาททำให้หน้าเบี้ยว หรือผิวไหม้ได้, ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 เดือน หรืออาจถึง 1 ปีในบางคน



  • Liposuction การกำจัดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนังด้วยเครื่องสลายไขมันให้ขนาดเซลล์เล็กลงและดูดออกจากร่างกาย หรือที่เรียกว่าการดูดไขมันนั่นเอง นิยมใช้กับคนที่มีปัญหาต้องการลดไขมันเฉพาะจุดที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการออกกำลังกายหรือคุมอาหาร และมักเป้นวิธีที่ใช้ร่วมกับการศัลยกรรมประเภทอื่นๆ เพื่อลดการเข้ารับศัลยกรรมซ้ำไปมาหลายรอบ

งบประมาณ ราคาเริ่มต้น 20,000 THB

ข้อดี มีหลากหลายประเภทตั้งแต่แบบดั้งเดิมไปจนถึงแบบใช้เทคโนโลยีรูปแบบต่างๆ ลดไขมันเฉพาะจุดได้เร็ว เห็นผลบางส่วนได้เร็ว และสามารถนำไขมันไปเติมส่วนอื่นได้ เช่น หน้าอก สะโพก

ข้อเสีย ถือเป็นการผ่าตัดที่ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัวหรือมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือคนที่มีค่า BMI สูงกว่า 30 และคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรง, มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น ติดเชื้อ เลือดออก เกิดพังผืด, ต้องมีระยะพักฟื้น 1-2 สัปดาห์, ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง, หากไม่ปรับพฤติกรรมการกินหรือใช้ชีวิตที่เหมาะสมไขมันก็อาจกลับมาสะสมได้อีก


ไม่ว่าจะใช้กระบวนการเสริมความงามช่วยลดหน้าท้องด้วยวิธีไหน แนะนำให้เพื่อนๆ ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ และเลือกโรงพยาบาลหรือคลินิกที่น่าเชื่อถือได้มาตรฐานกันด้วยนะคะ เพื่อผลลัพธ์ที่เห็นผลเร็ว จริง และปลอดภัย ไม่ต้องเจ็บใจกับพุงเจ้ากรรมและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และอย่าลืมว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วยในระยะหนึ่ง แต่การจะเห็นผลชัดและอยู่ได้นานต้องอาศัยการปรับไลฟ์สไตล์ทั้งการกินและการใช้ชีวิตในระยะยาวควบคู่ไปด้วยอย่างต่อเนื่องจะยั่งยืนที่สุดค่ะ

ข้อควรระวังก่อนลดหน้าท้องแบบเร่งด่วน


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเพื่อนๆ จะใช้วิธีลดหน้าท้องเร่งด่วนด้วยวิธีที่ทำได้เองหรือพึ่งพาสถาบันเสริมความงาม สิ่งที่ทุกคนควรระลึกไว้เสมอทั้งก่อนและหลังทำขั้นตอนลดหน้าท้องคือ

  • ไม่ควรทำอย่างหักโหม แต่ควรปรับไลฟ์สไตล์อย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะทำให้ได้ต่อเนื่องแล้วยังเห็นผลลัพธ์ได้จริง ไม่ต้องเครียด พารานอยด์ หรือกังวลกับผลเสียต่อสุขภาพในกรณีที่ร่างกายปรับตัวไม่ทันด้วย
  • ระวังผลกระทบต่อสุขภาพ อย่าลืมปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญก่อนหากมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะการเลือกกินอาหาร การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย หรือเสริมความงาม เพราะการลดน้ำหนักเร่งด่วนอาจส่งผลเสียต่อยาที่กิน หรืออารมณ์ความเครียดภาวะที่เผชิญอยู่ก็เป็นได้
  • คุณแม่และว่าที่คุณแม่ไม่ควรทำ ไม่ควรลดหน้าท้องเร่งด่วนเพราะอาจส่งผลกระทบต่อเด็กในท้องหรือบุตรที่กำลังให้นม เช่น ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
  • ผิวหนังหย่อนคล้อย การลดน้ำหนักเร็วเกินไปแบบไม่สมดุลอาจทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและมีร้ิวรอยได้ง่าย

แนะนำว่าการลดหน้าท้องเร่งด่วนเป็นเรื่องที่ทำได้สำหรับบางคนที่มีร่างกายพร้อม จิตใจพร้อม และควรประเมินจากสภาพร่างกายของตนเองเป็นหลัก ไม่ใช่เลือกทำเพราะเห็นคนดังหรือคนที่ทำสำเร็จแล้วเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญคือต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวิธีที่เราทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน เพื่อให้เห็นผลในระยะยาว ไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพนะคะซิส

คำถามที่พบบ่อย

ทำไมลดหน้าท้องยากจัง ?

เหตุเกิดมาจากการที่หน้าท้องเป็นจุดที่ร่างกายของเราเลือกสะสมไขมันเป็นอันดับแรก แต่กลับเป็นส่วนสุดท้ายที่จะถูกเผาผลาญไขมันไปค่ะ ซึ่งแตกต่างจากส่วนอื่นของร่างกาย

เหตุผลที่ทำให้ลดหน้าท้องยาก:

  • ไขมันในช่องท้องมี 2 ประเภท คือ ไขมันใต้ผิวหนังที่จับต้องได้ และไขมันหุ้มอวัยวะภายในที่อันตราย และเผาผลาญออกได้ยากกว่า
  • ฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่เกิดจากความเครียด จะกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันที่บริเวณหน้าท้อง
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม ทำให้บางคนมีแนวโน้มสะสมไขมันที่หน้าท้องมากกว่าส่วนอื่น
  • การเผาผลาญช้าลง ตามอายุและกล้ามเนื้อที่ลดลงส่งผลให้เผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงด้วย
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานช้า ทำให้เผาผลาญช้า ลดน้ำหนักยาก
  • PCOS หรือฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล ทำให้สะสมไขมันง่าย
  • ประจำเดือน ผู้หญิงก่อนและหลังหมดประจำเดือน จะเผาผลาญช้าลง
  • ภาวะต้านอินซูลินหรือก่อนเบาหวาน ทำให้ลดน้ำหนักช้า
  • คอร์ติซอลสูง จากความเครียดเรื้อรัง
  • ลักษณะเฉพาะร่างกายแต่ละคน เช่น บางคนมีแนวโน้มสะสมไขมันที่หน้าท้องมากกว่าส่วนอื่น การเผาผลาญช้าตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ลดพุงห้ามกินอะไร ?

หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องบวม โดยเฉพาะน้ำตาล และแป้งขาว ที่ทำให้อินซูลินพุ่งสูง แล้วสั่งร่างกายให้เก็บไขมันที่หน้าท้อง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • น้ำตาลและเครื่องดื่มหวาน เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง ชานมไข่มุก และขนมหวานทุกชนิด
  • แป้งขาวและคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมกรุบกรอบ
  • ไขมันทรานส์และอาหารทอด เช่น ฟาสต์ฟู้ด ของทอดกรอบ ขนมอบสำเร็จรูป
  • แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์กับค็อกเทลรสหวาน ที่มีแคลอรีและน้ำตาลสูง
  • อาหารแปรรูป และเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน ลูกชิ้น อาหารกระป๋อง
  • อาหารรสจัด เช่น เค็มจัด เผ็ดจัด จะทำให้ตัวบวมน้ำ
  • อาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น ถั่ว กะหล่ำ เครื่องดื่มโซดา
กินอะไรให้หน้าท้องยุบ ?

แนะนำเน้นทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ไฟเบอร์สูง และมีไขมันดี ที่จะช่วยให้อิ่มท้องนาน ลดการสะสมของไขมัน รวมถึงช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

อาหารโปรตีนสูง:

  • ไข่ ไก่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน
  • ถั่วเหลือง เต้าหู้ เทมเป้

อาหารไฟเบอร์สูง:

  • ผักใบเขียว บรอกโคลี แคร์รอต ผักโขม
  • แอปเปิล ส้ม เบอร์รี ฝรั่ง
  • ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ธัญพืชไม่ขัดสี

อาหารไขมันดี:

  • อะโวคาโด
  • ถั่วอัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดเจีย
  • น้ำมันมะกอก
  • ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน
น้ำหนักขึ้นไวเกิดจากอะไร ?

บอกเลยว่า มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องของการกินมาก หรือน้อยเท่านั้น แต่การเผาผลาญที่ช้าลง ฮอร์โมนที่ไม่สมดุล และไลฟ์สไตล์ของเราก็ล้วนมีผลต่อการเพิ่มของน้ำหนัก

สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักขึ้นง่าย:

  • การเผาผลาญช้ากว่าคนอื่น อาจมาจากพันธุกรรม อายุที่เพิ่มขึ้น หรือต่อมไทรอยด์ทำงานช้า
  • ฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น PCOS, ช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือหมดประจำเดือน
  • ภาวะต้านอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงแล้วลดต่ำเร็ว ร่างกายเลยสะสมไขมันง่าย
  • กล้ามเนื้อน้อยเกินไป เพราะโดยปกติแล้ว กล้ามเนื้อของเราจะมีการเผาผลาญแคลอรีอยู่ตลอดเวลา แม้ในเวลาพักผ่อนก็ตาม
  • นอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้ฮอร์โมนหิวเพิ่มขึ้น และจะรู้สึกอยากกินของหวาน
  • ความเครียดสูงเรื้อรัง คอร์ติซอลสูง ทำให้สะสมไขมันโดยเฉพาะที่หน้าท้อง
  • ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาแก้ซึมเศร้า อาจมีผลข้างเคียงได้
  • พฤติกรรมกินเร็ว กินไม่เป็นเวลา ทำให้ร่างกายเข้าโหมดเก็บสะสม
  • ร่างกายบวมน้ำง่าย จากการกินเค็ม ฮอร์โมน หรือแพ้อาหารบางชนิด
สูตรลดหน้าท้องด้วยมะนาว คืออะไร ?

หลายคนน่าจะเคยรู้กันมาว่า น้ำมะนาวเป็นหนึ่งในทริคลับสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักใช่มั้ยล่ะคะ เพราะช่วยกระตุ้นให้เราดื่มน้ำมากขึ้น ดีต่อการเผาผลาญและการขับถ่าย ทั้งยังช่วยรักษาระดับแคลอรีและน้ำตาลให้อยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วยนะคะว่าน้ำมะนาวไม่ใช่สูตรลัดที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ทันที แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมการลดน้ำหนักได้เท่านั้น

สูตรลดหน้าท้องด้วยมะนาว

  • สูตรน้ำมะนาวดีท็อกซ์: มะนาวสด 1/2 ลูก คั้นใส่น้ำอุ่น
  • สูตรผสมน้ำผึ้ง: เพิ่มจากสูตรน้ำมะนาวดีท็อกซ์ ด้วยการเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ช่วยทำให้ดื่มง่ายขึ้น
  • สูตรน้ำขิงมะนาว: เพิ่มจากสูตรน้ำมะนาวดีท็อกซ์ ด้วยการใส่ขิงสดหั่นบางๆ 2-3 แว่น ช่วยลดท้องอืด เพิ่มการเผาผลาญให้ดีขึ้น
  • สูตรชาเขียวมะนาว: เพิ่มจากสูตรน้ำมะนาวดีท็อกซ์ แล้วผสมผงชาเขียว 1-2 ช้อนโต๊ะ ช่วยลดการดูดซึมไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย

ข้อควรรู้:

  • น้ำมะนาวไม่ได้ช่วยเผาผลาญไขมันโดยตรง แต่ช่วยเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย
  • ต้องทำควบคู่กับการกินอาหารดี และออกกำลังกายจึงจะเห็นผล
  • ควรดื่มตอนเช้าในช่วงที่ท้องว่าง ก่อนอาหารเช้า 20-30 นาที เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่ายและการเผาผลาญ
  • ดื่มมากเกินไปอาจระคายเคืองกระเพาะได้ โดยเฉพาะคนที่มีอาการกรดไหลย้อน
  • กรดจากมะนาวอาจกัดเคลือบฟัน ดังนั้นแนะนำควรแปรงฟันหลังดื่มประมาณ 30 นาที หรือบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าด้วยนะคะ
ลดหน้าท้องเร่งด่วน 3 วัน ผู้หญิง

บอกกันจากใจเลยนะคะ เราไม่มีทางลดไขมันจริง ๆ ได้ภายใน 3 วัน เพราะการเผาผลาญไขมันเพียง 1 กิโลกรัมก็ต้องใช้เวลาหลายวันแล้ว แต่อย่าเพิ่งท้อเพราะเราสามารถทำให้หน้าท้องดูแบนขึ้นได้ ด้วยทริคเหล่านี้:

ทริคการกิน:

  • ดื่มน้ำเปล่า 3 ลิตรต่อวัน หรือให้เหมาะสมตามน้ำหนักตัว เพื่อขับของเสียและลดบวม
  • ดื่มชาเขียว หรือน้ำมะนาวอุ่นตอนเช้า
  • เลิกอาหารเค็ม น้ำตาล และแป้งทุกชนิดโดยเด็ดขาด
  • กินโปรตีนสูง เช่น ไข่ ปลา อกไก่ เนื้อไม่ติดมัน
  • งดผลิตภัณฑ์จากนมชั่วคราว เพราะอาจทำให้ตัวบวมได้
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น ถั่ว กะหล่ำ น้ำโซดา
  • ไม่ทานอาหารหนักหลัง 18.00 น.

ทริคดูแลร่างกาย:

  • เดินเร็ว หรือวิ่งเบาๆ วันละ 30-45 นาที
  • ทำท่าแพลงก์ ค้างอย่างน้อย 30 วินาที ทั้งหมด 3 เซต
  • ออกกำลังกายหน้าท้อง (sit-up, crunches) 15-20 ครั้ง ทั้งหมด 3 เซต
  • หลีกเลี่ยงความเครียด ผ่อนคลายร่างกาย ทำสมาธิ หรือโยคะ
  • นอนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง

แนะนำทำอย่างประจำตลอดทั้ง 3 วันนะคะ แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ยั่งยืน เราควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือนค่ะ

วิธีทำให้พุงยุบภายใน 1 คืน

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า เราไม่สามารถลดไขมันร่างกายได้ โดยใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่เราสามารถทำให้หน้าท้องดูแบนราบขึ้นชั่วคราวได้ เป็นทริคที่เหมาะกับคนที่ต้องใส่ชุดสวย หรือถ่ายรูปในวันต่อมา แต่ทั้งนี้ไม่ควรทำบ่อยเกินไปนะคะเพราะอาจเสี่ยงต่อการขาดน้ำได้

สิ่งที่ควรทำตอนเย็น:

  • กินมื้อเย็นเบา ๆ เน้นโปรตีน ผักต้ม และหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรต เกลือ
  • ดื่มชาเขียว หรือชาสมุนไพร ที่ช่วยขับน้ำ ลดตัวบวม

สิ่งที่ควรทำก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง:

  • ยืดเหยียดเบาๆ 10-15 นาที ช่วยขับลมในท้อง
  • นอนหนุนขาสูงกว่าหัว 15-20 นาที ช่วยลดตัวบวมได้

สิ่งที่ควรทำก่อนเข้านอน:

  • รีแล็กซ์ร่างกายก่อนเข้านอน ไม่ให้เครียด
  • นอนหลับเต็มอิ่ม 7-8 ชั่วโมง

สิ่งที่ควรทำตอนตื่นนอน:

  • ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้วใหญ่ทันที ช่วยกระตุ้นลำไส้
  • เดิน หรือ ยืดเหยียด เบา ๆ 10-15 นาที
ทำไมผู้หญิงถึงน้ำหนักขึ้นก่อนมีประจำเดือน ?

ไม่ใช่แค่เพื่อปลอบให้เพื่อน ๆ สบายใจขึ้น แต่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ และเกิดขึ้นกับผู้หญิงส่วนใหญ่เลยละค่ะ บางคนอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 1-3 กิโลกรัม แต่ไม่ต้องนอยด์ไปค่ะสาวมันไม่ใช่การสะสมของไขมันนะเพราะเมื่อหลังจากประจำเดือนมาแล้วน้ำหนักเราก็จะกลับมาเป็นปกติเอง 

สาเหตุหลักเกิดจากฮอร์โมน:

ก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนสำคัญจะมีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะมีการเพิ่มขึ้น และ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ที่ลดลงซึ่งทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นได้

  • ร่างกายดูดซับน้ำมากขึ้น ทำให้บวมโดยเฉพาะที่หน้า ท้อง และขา
  • ลำไส้ทำงานช้าลง โปรเจสเตอโรนมีผลทำให้ท้องผูก ท้องอืด
  • อยากกินของหวานและเค็ม ความผันผวนของฮอร์โมน อาจกระตุ้นความอยากอาหารมากขึ้นกว่าปกติ
  • ร่างกายเผาผลาญเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่อยากทานมากกว่าปกติ
ระบบเผาผลาญพังทำยังไง ?

'พัง' ในที่นี้หมายถึง การที่ร่างกายของเราเผาผลาญแคลอรีได้น้อยกว่าปกตินั่นเองค่ะ มักเกิดจากการลดน้ำหนักที่ผิดวิธี เช่น การอดอาหาร การหักโหมออกกำลังกายมากเกินไป หรือทำไดเอตโยโย่ ทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมด "เอาชีวิตรอด" และชะลอการเผาผลาญเพื่อรักษาพลังงาน

ชวนเช็กอาการระบบเผาผลาญพัง:

  • ทานน้อยแต่น้ำหนักไม่ลง หรือลงช้ามาก
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • หิวบ่อย โดยเฉพาะอยากทานของหวาน
  • อุณหภูมิร่างกายต่ำ มือเท้าเย็น
  • ผมร่วง เล็บเปราะ ผิวแห้ง
  • นอนไม่หลับ หรือนอนแล้วไม่สดชื่น
  • ประจำเดือนไม่ปกติ

วิธีกู้ระบบเผาผลาญให้กลับมาดี:

  1. เพิ่มปริมาณอาหาร ค่อยๆ เพิ่มแคลอรีทีละ 50-100 แคลอรีต่อสัปดาห์ เน้นอาหารโปรตีนสูง อาหารที่มีไขมันดี และอาหารที่หลากหลาย จนกลับมาอยู่ที่ระดับที่เหมาะสมกับร่างกาย หรือประมาณ 1,500-2,000 แคลอรี สำหรับผู้หญิงปกติ รวมถึงต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ห้ามอดค่ะ!
  2. สร้างกล้ามเนื้อ แนะนำเล่นเวทเทรนนิ่ง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  3. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยควรนอนให้ครบ 7 ชั่วโมงทุกคืน เพราะการนอนน้อยทำให้ฮอร์โมนเผาผลาญรวน ทำงานผิดปกติได้
  4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ตามความเหมาะสมต่อน้ำหนักตัว ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ

สรุป ทริคลดหน้าท้องเร่งด่วน 1 อาทิตย์พุงยุบ ต้องปรับไลฟ์สไตล์อย่างมีวินัย

ทริคการลดหน้าท้องใน 1 อาทิตย์เป็นไปได้จริง หน้าท้องของเราจะแบนราบมากขึ้น รอบเอวเล็กลงประมาณ 0.5-2 นิ้ว แต่ที่เราลดได้ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการลดบวมน้ำ ลดการอักเสบ และขับของเสียในร่างกายด้วย โดยสิ่งสำคัญของการสลายพุงป่องให้หายไปอย่างรวดเร็วได้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่ทำจนรู้สึกชิน สร้างให้เป็นไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น

ผู้เขียนขอทิ้งท้ายด้วย ทริคจากประสบการณ์ของแฟนผู้เขียน อย่าทำสิ่งนี้ นั่นคือการกินน้อยเพื่อหวังให้ลดน้ำหนักได้เร็วหรืออดมื้อกินมื้อไปเลย ความจริงแล้วเป็นความเข้าใจผิดมาก ๆ เพราะเมื่อเรากินน้อยเกินไปร่างกายจะคิดว่ากำลังอดอยาก จึงชะลอการเผาผลาญลงเพื่อประหยัดพลังงานและเริ่มเผาผลาญกล้ามเนื้อแทนไขมัน ยิ่งกล้ามเนื้อลดลงการเผาผลาญก็ยิ่งช้าลงไปด้วย และเมื่อกลับมากินตามปกติแล้วน้ำหนักของเพื่อน ๆ จะเด้งกลับมาเร็วกว่าเดิมไปอีกพร้อมไขมันที่มากกว่าเดิม ใช่ค่ะ ! เราเรียกมันว่า Yo-Yo Effect

ดังนั้นทานให้ครบ 3 มื้อ แต่เลือกอาหารที่มีคุณภาพ หลากหลาย เน้นโปรตีนสูง ไฟเบอร์เยอะ ลดแป้งและน้ำตาล จะช่วยลดพุงได้แบบยั่งยืนกว่า นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ทานผลไม้แทนมื้ออาหารจริงนะคะ เพราะผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติ หรือ ฟรุกโตสสูง แต่ไม่มีโปรตีนและไขมันดีเลย นั่นก็ยิ่งทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งและตกต่ำเร็ว เพื่อน ๆ จะยิ่งหิวเร็วเผลอ ๆ ทำให้อ้วนได้อีก โดยเฉพาะผลไม้หวาน ๆ เช่น กล้วย ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง เป็นต้น แนะนำว่ากินผลไม้เป็นอาหารว่างหรือของหวานหลังอาหารจะดีกว่าค่ะ



สุดท้ายนี้ การมีวินัยไม่ได้หมายความว่า ต้องเพอร์เฟกต์ 100% ถ้าวันไหนเราทำอะไรพลาดไปบ้าง อย่าโทษตัวเอง อย่าเพิ่งท้อ การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเราด้วยเช่นกัน แนะนำให้กลับมาทำอย่างถูกในมื้อถัดไปแทน และไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับใครค่ะ แค่เทียบตัวเองในวันนี้กับตัวเองเมื่อวานนี้ก็เพียงพอแล้ว 💖


ขอขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล MAYO Clinic, MDedge, VSquare Clinic, AM International Hospital

บทความแนะนำที่คล้ายกัน

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1