รูปภาพ:https://i.makeagif.com/media/5-11-2018/can-xT.gif

เซย์ไฮค่าา สาวๆSistaCafeที่โดนทักว่า' คุณแม่ตั้งครรภ์ 'ทั้งหลายถ้าเปิดมาอ่านบทความนี้แล้ว เราขอเหมารวมว่าเธอกำลังมีปัญหาพุงป่องแบบไม่ได้ตั้งใจ! ในโลกนี้มีผู้หญิงมากมายที่หุ่นปกติ แขนขาก็ไม่ได้ใหญ่ แต่พวกเธอจะไม่ยอมใส่ชุดรัดรูป เสื้อครอป หรือเดรสเน้นเอวเป็นอันขาด จะเป็นสาวกเสื้อโอเวอร์ไซส์ ยิ่งใหญ่ หลวมโคร่งเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะอะไรน่ะเหรอ ลองเปิดเสื้อดูสิแล้วจะพบคำตอบโดนทักผิด ลุกให้ที่นั่งในรถไฟฟ้า รถเมล์มาก็หลายรอบแล้ว อายก็อายไม่รู้จะทำยังไง คือถ้าอวบแล้วอวบทั้งตัวมันก็ยังสมดุลกันไง แต่นี่ผอมแขนขา แต่มีพุง มันก็กลุ้มใจอยู่เด้อ T0Tใครที่กำลังประสบปัญหานี้ เธอไม่ได้มีพันธุกรรมผิดปกติ ป่วยเป็นโรค หรือมีพยาธิอยู่ในตัวแต่อย่างใด แต่มาจากไขมันสะสมที่เกิดจากพฤติกรรมแย่ๆ ของเธอต่างหาก ซึ่งหลักๆ เลยก็คือเรื่องกินที่ไม่ถูกสุขลักษณะ กินผิดชนิด กินของทำให้อ้วน แต่เธอคิดไปเองว่าทำให้ผอม...แน่ะ ถ้าเริ่มร้อนๆ หนาวๆ ว่าเป็นต้นเหตุของเจ้าพุงกลมป่องนี้หรือไม่ ลองมาเช็กได้ที่' 7 นิสัยพาอ้วนของสาวๆ ก่อเกิดไขมันหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว 'ในบทความนี้กันได้เลยค่า เล็ทส์โก!!!

1. เธอจะกินแค่ ' มื้อเล็กๆ ' เท่านั้น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/9efcc167eb9858ea1c8b6be4555f4361.jpg

สาวๆ หลายคนกลัวอ้วน ถึงเวลาอาหารแต่ละมื้อก็จะไม่ยอมกินมื้อหนัก หรือมื้อที่เป็นอาหารเต็มชามเลยสักครั้งเดียว แต่จะกินเป็นมื้อเล็กๆ ซอยย่อยทั้งวันแทน เช่น เช้ากินแอปเปิ้ล สายๆ กินแครกเกอร์ เที่ยงกินสมูทตี้หนึ่งแก้ว บ่ายกินช็อกโกแลตหนึ่งแท่ง ตอนเย็นกินสลัดผัก


ซึ่งมันก็เหมือนจะดูดี กินแค่มื้อละนิดละหน่อยเองจะอ้วนได้ไง ไหนบอกว่ากินบ่อยๆ จะกระตุ้นระบบเผาผลาญไม่ใช่เหรอ แต่จะบอกว่าทำแบบนี้ ถ้ากินเกินโควต้าแคลอรีต่อวัน จะยิ่งทำให้มีพุงต่างหากค่ะ!

การกินอาหารบ่อยๆ ทั้งวันมันเป็นดาบสองคม อาจจะช่วยให้เตาเผาในร่างกายได้ทำงานทั้งวัน แต่ถ้าเลือกกินแต่คาร์โบไฮเดรตหรือไขมันสูง ก็จะยิ่งก่อเกิดเป็นไขมันหน้าท้องได้ง่าย สุดท้ายก็มีพุงกลมป่องให้ช้ำใจเล่น


แต่ถ้ามีไลฟ์สไตล์ที่ต้องกินมากกว่า 3 มื้อจริงๆ ก็พยายามเลือกอาหารที่เน้นโปรตีนไร้มันและไฟเบอร์ และคุมแคลอรีโดยรวมต่อวันไม่ให้เกิน เท่านี้พุงก็จะค่อยๆ ลดลงแล้ว

2. กินแต่อาหารชนิดเดิมๆ ซ้ำซากไปมา

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/ffeed16a78aa541c594e5a8894a83aee.jpg

ใช่ค่ะ แม้จะเป็นอาหารที่มีประโยชน์เพียงใด ถ้ากินชนิดเดิมๆ ซ้ำไปมาทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องดี! เช่น ถ้าเธอเป็นคนที่กินขนมปังปิ้ง + ไข่ต้มทุกเช้า ข้าวราดแกงทุกเที่ยง หรือกินสลัดผักทุกเย็น ( ซึ่งเชื่อเถอะว่ามีผู้หญิงหลายคนก็กินอาหารซ้ำๆ เพราะขี้เกียจคิดเมนูใหม่ )


ร่างกายของเธอจะเริ่ม ' จำ ' และลดอัตราเผาผลาญลง รวมถึงไม่มีเชื้อโรคดี ( โพรไบโอติกส์ ) ชนิดใหม่ๆ ในลำไส้ ทำให้สุดท้ายเธออาจเกิดอาการท้องอืด ท้องผูก พุงป่อง ยังไม่นับว่าเมตาบอลิซึ่มที่ต่ำลง จะทำให้เธออ้วนง่ายขึ้น นำไปสู่การมีพุงอีกด้วย


วิธีแก้ก็ง่ายๆ คือ' อย่ากินอาหารซ้ำซาก 'พยายามหาเมนูให้หลากหลาย แต่ยังยึดหลักต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์ เช่น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนไร้มัน ไขมันดี ไฟเบอร์

นานๆ ทีก็อาจกินอาหารไขมันสูง ถือเป็นชีทเดย์ ( cheat day ) บ้าง เพื่อกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น และทำให้มีโพรไบโอติกส์จากอาหารใหม่ๆ เข้าไปอยู่ในลำไส้ เมื่อขับถ่ายได้ดี เผาผลาญดี หน้าท้องก็จะค่อยๆ ลดลงค่ะ

3. ต้อง ' กิน ' ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ปล่อยให้ท้องว่างไม่ได้

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/5d9fc3aa57aa7b5c23b0186d9691189a.jpg

ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือสายเฮลทีก็ตาม มักจะมีความเชื่ิอผิดๆ ว่า ถ้าจะต้องออกกำลังกาย ต้องกินอาหารรองท้องก่อน ไม่อย่างนั้นร่างกายจะไปเบิร์นกล้ามเนื้อแทน บางคนกินแค่โปรตีนบาร์ แต่บางคนก็ซัดอาหารมื้อใหญ่มาเลย


ซึ่งจริงๆ แล้วบอกเลยว่าไม่จำเป็น ต้องฟังเสียงร่างกายตัวเองดีๆ ว่ากำลังหิวหรืออิ่มอยู่ เพราะสาวๆ บางคนก็กินอาหารอิ่มแปล้จากมื้อที่แล้ว ยังย่อยไม่หมดด้วยซ้ำ แต่พอจะเข้ายิมเท่านั้นแหละ อัดเวย์ อัดหมูปิ้ง กลัวไม่มีแรง พลังงานก็ล้นไปกองอยู่ที่พุงแทนยังไงล่ะ!

ถ้าไม่แน่ใจว่าควรกินอาหาร เพื่อเติมพลังงานก่อนหรือหลังออกกำลังกายหรือไม่ ให้คิดถึงกฎง่ายๆ ว่า หากอาหารมื้อสุดท้ายกินมาก่อนแล้วเกิน 3 ชั่วโมง ก็สามารถกินของง่ายๆ เพิ่มพลังได้


เน้นเป็นโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็ได้ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักสองแผ่น ไข่ต้มสักฟอง หรือโปรตีนบาร์สักแท่งค่ะ

4. เลือกกินแต่ ' เนื้อสัตว์ ' อย่างเดียว

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/e0fd05223effe93fdfdd1c734cb2d8e1.jpg

เราจะไม่ขอไปแตะการกินแบบคีโต, แอทกินส์ไดเอท หรือการกินเน้นเนื้อสัตว์อื่นๆ เพราะพวกนั้นเขาต้องมีการชั่งตวง วัดปริมาณ กินตามหลักการโดยเฉพาะของเขา แต่ถ้ามองในแง่คนทั่วไปที่อัดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัวรัวๆ


เพราะคิดว่ายิ่งโปรตีนเยอะ ยิ่งได้กล้ามเนื้อมาเผาผลาญไขมัน บอกเลยว่าคิดผิด! เพราะถ้าร่างกายใช้ไม่หมด เนื้อเหล่านั้นก็จะแปรสภาพเป็นไขมันลอยอยู่ในพุงกลมๆ ของเธอ และยังส่งผลต่อสุขภาพด้วยค่ะ

ยิ่งกินเนื้อสัตว์เยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มเสี่ยงรับแคลอรีเข้าร่างกายเกินความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เธอมีค่า BMI ( ดัชนีมวลกาย ), รอบเอว, สัดส่วนต่างๆ ที่ขยายออก นำมาสู่โรคอ้วนได้ ถ้าไม่ลดปริมาณเนื้อลง อีกทางเลือกคือเบนไปกินสายวีแกน หรือกินเน้นพืช ( plant-based diet ) แทน


เธอจะได้รับไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลที่น้อยลง แต่ได้คาร์บ ไฟเบอร์ แมกนีเซียม โพแตสเซียม โพเลตและสารต้านอนุมูลอิสระที่มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว และพืชตระกูลถั่ว ( legumes ) เป็นต้น นอกจากหน้าท้องจะค่อยๆ บางลงแล้ว น้ำหนักก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ลองดูนะคะ

5. ไม่ชอบกินโยเกิร์ต เต้าหู้ ท้องผูกบ่อยๆ ไม่รู้จักคำว่า ' โพรไบโอติกส์ '

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/cc06d0afa6c39c4ad2d391f31d349901.jpg

ถ้าน้ำหนักก็ปกติ ไม่ได้มีไขมันหน้าท้องเกินจนน่าตกใจ แขนขาเรียวเล็กแต่กลับพุงป่อง ให้ทบทวนตัวเองก่อนเลยว่า' ขับถ่ายบ่อยหรือไม่ 'เพราะบางทีมันอาจจะเป็นพุงท้องอืด มีแก๊สหรือของเสียในลำไส้ แต่ไม่ได้รับการขับออกเพราะร่างกายไม่ได้รับ ' โพรไบโอติกส์ ' ที่เพียงพอ


ลองคิดย้อนไปถึงอาหาร 3 มื้อล่าสุดดูว่ามีอะไรบ้าง ถ้ามีแต่แป้งกับเนื้อสัตว์ก็ชัดเลยว่า ที่ท้องผูกอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะสาเหตุอะไร!

อย่างง่ายที่สุด เราแนะนำให้เธอเลือกกินเป็น' โยเกิร์ต 'แบบที่มีโพรไบโอติกส์สูงๆ ( ควรเป็นรสธรรมชาติจะดีที่สุด หากเป็นรสอื่นที่เติมน้ำเชื่อมหรือน้ำตาล จะยิ่งเพิ่มน้ำตาลเข้าร่างกาย หากใช้ไม่ทันจะยิ่งเพิ่มพุงกว่าเดิม ) พยายามกินให้ได้ทุกวัน


ง่ายสุดก็กินคู่กับกราโนล่าหรือซีเรียลธัญพืชในตอนเช้า, กินเป็นมื้อว่างช่วงสายๆ บ่ายๆ หรือกินคู่กับสลัดผักในตอนเย็น แต่ถ้าไม่ชอบโยเกิร์ต ก็สามารถกินเป็นนมเปรี้ยว กิมจิ หรือซุปมิโสะ ( เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น ) ก็ได้เช่นกันค่ะ

6. เป็นเจ้าแม่แห่งการกินเค็ม อะไรจืด ต้องขอโรยเกลือเพิ่มตลอด

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c3e3edcb806b21f819bff6942319bc60.jpg

เราเชื่อว่ามีผู้หญิง ( และผู้ชายหลายคนด้วย ) ที่ติดกินเค็ม! ไม่ว่าจะสั่งอาหารเมนูไหน แม้ว่าพ่อครัว/แม่ครัวจะบอกว่าปรุงรสที่ดีที่สุดมาให้แล้ว ก็ยังหาทำจะโรยเกลือใส่ลงไปให้ได้ ขอให้ได้เหยาะสักนิดก็ยังดี ว่าซั่น!


ซึ่งถ้าเธอมีพฤติกรรมแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่จะมีหน้าท้องบวม เพราะเมื่อโซเดียมดูดซึมเข้าร่างกายเยอะเกินไป จะเกิดอาการ water retention หรือบวมน้ำคล้ายกับตอนมีประจำเดือนนั่นเอง ยิ่งถ้าตอนวันแดงเดือดมาจริงๆ พุงก็จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมไปอีก! #แง

ทางแก้ไขที่ยั่งยืนที่สุดคือ" กินเกลือให้น้อยลง "เท่านั้นเองจริงๆ ซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวเกลือเม็ดสีขาวอย่างเดียวด้วยนะ แต่หมายถึงอาหารทุกชนิดที่มีเกลือผสมอยู่ เช่น บะหมี่สำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก แฮม หรือแม้แต่ขนมปัง เบเกอรี่หลายอย่างที่เป็นของหวานก็มีเกลือเป็นสวนประกอบเช่นกัน

เข้าใจว่าของกินในไทยไม่ได้มีฉลากโภชนาการติดทุกอย่าง ดังนั้นเราแนะนำว่า อะไรที่ไม่แน่ใจ ก็อย่ากินซะเลยจะดีกว่า เน้นอาหารรสจืด อาหารคลีน หรืออาหารที่มีบอกปริมาณโซเดียมแน่ชัดว่าไม่เกินต่อวัน จะดีต่อสุขภาพร่างกาย ( และพุง ) ที่สุดนะคะซิส

7. เกลียดผักสด ผลไม้สดก็ไม่แตะ ร้อยทีปีหนจะกินครั้ง

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/7533d26c0089e1e029d5c6b17bcda612.jpg

ข้อสุดท้ายบอกเลยว่าเชื่อมต่อกับ ' อาการท้องอืด ท้องผูก ' โดยตรง ลองสำรวจตัวเองดูว่าขับถ่ายครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ หากต้องคิดนานเกิน 5 วิก่อนจะตอบ แปลว่าเธอมีแนวโน้มมีปัญหากับระบบขับถ่ายแล้ว

คำถามต่อมาคือ ' กินผักและผลไม้สดครั้งล่าสุดตอนไหน ' ถ้าต้องคิดนานเหมือนกัน หรือพูดได้ทันทีเลยว่า " อ๋อ! ไม่กินค่ะ ไม่ชอบกิน " ก็ไม่แปลกที่จะมีพุง ก็เธอไม่กินไฟเบอร์เลยนี่จ๊ะแม่คุณ!!

แม้ว่าผักผลไม้จะไม่ใช่อาหารที่เธอโปรดปรานเลย แต่ถ้าอยากหน้าท้องแบนราบ ก็คงได้เวลาต้องฝืนกินบ้างแล้วล่ะ! นอกจากเพราะว่าผักผลไม้สดจะมี 80-90% เป็นน้ำแล้ว ยังมีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ กินแล้วอิ่มนาน ช่วยระบายและช่วยลดน้ำหนักได้ดี

ถ้าทำใจกินสดไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยก็นำไปปั่นรวมกับสมูทตี้ หรือนำไปอบ ไปนึ่งก็ยังดี แม้สารอาหารจะเยอะไม่เท่าของสด แต่ก็ช่วยลดไขมันหน้าท้องได้มากกว่าไม่กินอย่างแน่นอน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/9c/a8/40/9ca84047385b8e69e092e885251b390d.gif

---------------------------------------

เอาละ จากที่อ่านมาทั้งหมดนี้ มีสาเหตุไหนที่ตรงกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเธอบ้าง ข้อเดียว? สองข้อ? แต่ถ้าครบทุกข้อ ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสิ่งเหล่านี้นี่แหละ ก่อเกิดความอ้วนในหน้าท้องน้อยๆ ของเธอจนกลายเป็นพุงป่องให้ต้องกังวล ซึ่งเกิดจากทั้งการกินอาหารไม่ดี ไม่ตรงประเภท กินบ่อยเกินไป หรือกินในเวลาที่ควรปล่อยให้ท้องว่างเพื่อเผาผลาญ ทุกอย่างล้วนส่งผลให้ร่างกายมีสัดส่วนที่ผิดปกติ และมีไขมันส่วนเกินได้ทั้งนั้นดังนั้นวิธีแก้ก็เพียงต้องปรับตามทริคที่บอกไว้ในข้อต่างๆ ข้างบน กลับมากินอาหารให้สมดุล เน้นโปรตีน ผักผลไม้ อาหารช่วยย่อยต่างๆ พยายามขับถ่ายทุกวัน อย่าปล่อยให้ท้องผูก และไม่กินอาหารที่มีไขมันสูงเกินไป + ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ได้น้ำหนักที่สมส่วน สุขภาพดี สามารถใส่่ชุดสวยๆ ได้อย่างมั่นใจทุกวันนะคะ ยังไงก็ลองเอาไปทำตามกันดูน้า วันนี้ขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่บทความหน้าค่า

(´。• ω •。`) ♡