ครที่เป็นสายชอบทานขนมหวานมารวมตัวกันทางนี้ด่วน ๆ เลยค่ะซิส~ เพราะวันนี้ดอลลี่จะมาแนะนำทริคดี ๆ ที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ กับ


7ทริคกินของหวานยังไงให้บาลานซ์ ไม่เป็นผลเสียกับร่างกาย

รับรองว่ากินของหวานได้แบบสบายใจและไม่รู้สึกผิดต่อสุขภาพ ถ้าพร้อมแล้วอย่ารอช้า ตามไปดูกันได้เลยจ้า

༶•┈┈┈┈୨♡୧┈┈┈┈┈•༶༶•┈┈┈┈୨♡୧┈┈┈┈┈•༶

7 ทริคกินของหวาน ยังไงให้บาลานซ์ ไม่ทำร้ายสุขภาพ

ทริคกินของหวาน ที่ 1. อย่าเสียดาย ! กินในปริมาณที่พอดี

รูปภาพ:

การรับประทานอาหารไม่ว่าจะเป็นของคาว ของหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ต่างก็ต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และพอดีกับร่างกาย

มิเช่นนั้นอาจจะเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ การรู้จักหักห้ามใจตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าเพื่อน ๆ จะรู้สึกอยากกินมากแค่ไหนก็ตาม กินของหวานแบบพอดี ๆ เอาให้พอหายอยาก อย่าถึงขนาดขั้นที่กินของหวานแทนข้าวเลยนะคะซิส

ทริคกินของหวานที่ 2. กินของหวาน Low-Fat หรือขนมคลีนแทน

รูปภาพ:

หากใครที่ชอบกินของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ขอบอกว่าทริคนี้ตอบโจทย์มาก ๆ เลยล่ะค่ะซิส เพราะว่า

ในปัจจุบัน

มีหลากหลายร้านที่ขายของหวานแบบ 0% หรือ Low-Fat รวมไปถึงขนมคลีนต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

การเลือกรับประทานของหวานเหล่านี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ชอบกินของหวาน แต่ก็อยากจะรักษาสุขภาพในเวลาเดียวกัน แถมรสชาติยังอร่อยไม่แพ้ของหวานทั่วไปด้วยน้า ต้องลอง !

ทริคกินของหวานที่ 3. นับแคลอรีก่อนทานของหวาน

รูปภาพ:

สูตรการคำนวณแคลอรี่ก่อนกินขนมหวานถือว่าใช้ได้ผลมาก ถ้าไม่อยากอ้วนเพราะการกิน

เพื่อให้เรารู้ว่าของหวานแต่ละอย่างที่รับประทานเข้าไปให้พลังงานปริมาณเท่าไหร่กับร่างกาย และมีแคลอรี่มากเกินไปหรือไม่ต่อพลังงานที่เราควรจะได้รับในแต่ละวัน โดยเพื่อน ๆ สามารถคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่เราควรได้รับต่อวันได้ดังนี้

BMR สำหรับผู้ชาย= 66 + (13.7 X น้ำหนักตัวปัจจุบันเป็นกิโลกรัม) + (5 x ส่วนสูงปัจจุบันเป็นเซนติเมตร) – (6.8 x อายุปัจจุบัน)

BMR สำหรับผู้หญิง= 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวปัจจุบันเป็นกิโลกรัม) + (1.8 x ส่วนสูงปัจจุบันเป็นเซนติเมตร) – (4.7 x อายุปัจจุบัน)

ทริคกินของหวานที่ 4. กินแล้วก็ต้องออกกำลังกาย

รูปภาพ:

แน่นอนว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการควบคุมปริมาณของหวานที่ทานเข้าไปนั้นไม่เพียงพอต่อการรักษาสุขภาพ เมื่อเรากินของหวานที่แสนโปรดปรานเข้าไป ก็ต้องรู้จักในการเบิร์นออกเช่นเดียวกัน

การออกกำลังกายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีของสายขนมหวานเลิฟเวอร์

โดยรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเราก็ขึ้นอยู่กับสรีระร่างกายของแต่ละคน


ทริคกินของหวานที่ 5. ดื่มชาเขียวร้อนหลังกินของหวานช่วยได้

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/8d/1a/85/8d1a852392d090ce1d27524deda5e893.jpg

เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยรู้ทริคนี้มาก่อนแน่นอน แต่ก็อาจจะเคยได้ยินหรือเห็นในซีรีส์ฟีลกู้ดต่าง ๆ ที่มีการพูดถึงการทานขนมและจิบชาไปด้วย ขอบอกว่ามันมีเหตุผลค่ะซิส เพราะ

ชาเขียวร้อนมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ลดคอเลสเตอรอลและยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มความไวของอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

เป็นทริคที่เริ่ดสุด ๆ แต่ว่าต้องเป็นชาเขียวร้อนแบบออริจินอล ที่ไม่ได้ใส่นมและน้ำตาลน้าา ไม่งั้นจากที่ช่วยบำรุงร่างกายจะกลายเป็นผลเสียคูณสองซะเอง

ทริคกินของหวานที่ 6. กินของหวานให้เป็นเวลา

รูปภาพ:https://samitivej-prod-new-website.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/public/uploads/contents/a339bf008c53ad910c921d7a375fbf83.jpg

ใครที่ชอบกินของหวานตลอดเวลา ดอลลี่ขอเบรกด่วน ๆ เลยค่ะซิส เพราะถ้าไม่อยากกินของหวานจนกลายเป็นการทำร้ายร่างกาย

ควรที่จะกินของหวานให้เป็นเวลาและรู้จักจำกัดขอบเขตของการกิน


โดยเราอาจจะกำหนดไว้ว่าใน 1 อาทิตย์สามารถกินของหวานได้กี่วัน และใน 1 วันกินของหวานได้กี่ครั้ง หรืออาจจะกินของหวานให้เป็นช่วงเวลา ไม่กินของหวานในเวลากลางคืน เป็นต้น

ทริคกินของหวานที่ 7. กินตามใจปาก และลดแป้งกับน้ำตาลในวันถัดมา

รูปภาพ:

มาถึง

ทริคสุดท้ายที่เหมาะกับสายชอบกินของหวานแต่ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้


หากวันไหนที่เพื่อน ๆ รู้สึกอยากกินของหวานมากเป็นพิเศษ ให้เพื่อน ๆ กินของหวานให้เต็มที่ไปเลยค่ะเหมือนกับ

Cheat Day

กินตามความพอใจของตนเอง เอาให้หายอยากจนเลี่ยนกันไปเลย แล้วในวันถัดๆ มาให้ทำการลดอาหารทุกชนิดที่มีแป้งกับน้ำตาลลง

เพื่อชดเชยกับปริมาณของอาหารที่เมื่อวานได้ทานไปนั่นเอง

*୨୧ ┈┈┈┈┈┈┈┈┈┈┈┈ ୨୧*

เป็นยังไงกันบ้างคะซิสกับ

ทริคกินของหวาน

ยังไงให้บาลานซ์ ไม่เป็นผลเสียกับร่างกาย

ถือว่าเป็นอีกทางเลือกของสายชอบกินของหวานแต่ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ แนะนำให้ลองไปทำตามกันดูนะคะ ผลลัพธ์เป็นยังไงก็สามารถมาคอมเมนต์พูดคุยกันได้น้า สำหรับวันนี้ดอลลี่ก็ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับทริคดีดีได้อีกที่

https://sistacafe.com/

ในครั้งหน้า

บ๊าย บาย~


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

https://sistacafe.com/summaries/82808

https://sistacafe.com/summaries/82437

https://sistacafe.com/summaries/85269

https://sistacafe.com/summaries/93137

https://sistacafe.com/summaries/89583