- - - สวัสดีค่าาา สาวๆSistaCafeผู้น่าเลิฟฟ ทุกคน! ( ´ ∀ `)ノ~ ♡ - - -หากพูดถึง' การลดน้ำหนัก 'แล้วนั้น ร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่ามันไม่ง่ายเลย TT^TT ทั้งต้องคอยคุมแคลอรี่ จดอาหารที่กิน นอนให้พอ หรือต้องลากตัวเองจากโซฟานุ่มๆ ไปออกกำลังกายตอนเช้ามืด/ หลังเลิกงาน การไดเอทของแต่ละคนก็ใช้วิธีต่างกัน ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ กิจกรรมในชีวิต etc. เป็นอะไรที่ซับซ้อนพอสมควรเลยล่ะ!เมื่อวิธีปกติมันน่าเบื่อขนาดนี้ จึงมีเคล็ดลับ ความเชื่อเกี่ยวกับการลดความอ้วนมากมายในอินเตอร์เน็ต หรือบอกเล่าปากต่อปาก ให้เราๆ ผอมได้ไวที่สุดนั่นเองค่ะ
แต่ก็มี ' ความเชื่อ ' หรือ Mindset บางอย่าง ที่เหมือนจะทำให้ผอมได้ในเวลาอันสั้น แต่ที่จริงยิ่งทำลายระบบร่างกายให้ลดไม่ลง หรืออ้วนขึ้นได้ในระยะยาว เป็นทริค Toxic ที่สาวๆ คนไหนก็ไม่ควรเอาไปทำตาม ถ้าไม่อยากลดฮวบ แล้วโยโย่กลับมาในเวลาไม่กี่เดือนค่ะถ้าเริ่มสงสัยว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่ ก็ลองเช็ค' 7 Mindset สุดพัง ในการลดน้ำหนัก 'ในบทความนี้กันได้เลย พร้อมวิธีปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้หุ่นสวยเพอร์เฟกต์กันนะคะ เริ่มได้!
1. "กินให้น้อยที่สุด อดข้าวทั้งวันยิ่งดี จะได้ผอมไวๆ ไง"
สาวๆ มากมายที่เมื่อคิดจะลดน้ำหนักตัว สิ่งแรกที่คิดคือ ' ต้องกินให้น้อยที่สุด ' คิดว่ายิ่งรับแคลอรี่เข้าร่างกายน้อยลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผอมเร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งในระยะแรกน้ำหนักก็ลงดีอยู่หรอก แต่ที่ลงน่ะมีแค่น้ำกับกล้ามเนื้อนะ!
ผ่านไปสักพักจะเริ่มคงที่ ซึ่งจะคงที่ต่อเมื่อเธอยังกินน้อยไปเรื่อยๆ เท่านั้นด้วย ถ้ากลับมากินแบบเดิม ' โยโย่เอฟเฟกต์ ' มาเยือน เด้งกลับไปเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมเลยล่ะ
คนที่อวบจนต้องไดเอท ส่วนใหญ่ก็เพราะกินเยอะเกินความจำเป็นถูกไหม? เมื่อมากินน้อยๆ นานๆ ย่อมฝืนธรรมชาติ ยิ่งนานยิ่งกลายเป็นความกดดัน บางคนวันๆ กินแค่ขนมปังแผ่นเดียว แอปเปิ้ลอีกลูก ที่เหลือซดแต่น้ำเปล่า ในที่สุดก็ตบะแตก กินแหลกกว่าเดิมเพราะหิวโซจะแย่อยู่แล้ว!
ที่อดมาแต่แรกก็สูญเปล่าอยู่ดี ไม่ทำซะตั้งแต่แรกยังดีกว่า แถมผลข้างเคียงคือระบบเผาผลาญแย่ลง เพราะร่างกายเข้าสู่โหมดจำศีล ( starvation mode ) อีกด้วย
โควต้าพลังงานที่เหมาะสมของผู้หญิงคือ ' 1,200 แคลอรี่ ' จึงไม่ควรกินต่ำกว่านั้นติดต่อกันนานเกินไป ไม่งั้นร่างกายพังแน่ๆ ลดน้ำหนักคราวหน้าจะยากกว่าเดิมด้วย!
2. "อันนั้นกินแล้วอ้วน อันนี้ก็แคลอรี่สูง เอาล่ะ ดื่มแค่น้ำเปล่าละกัน"
สาวๆ ที่เคร่งไดเอทอย่างเข้มงวด ( จนเกินไป ) จะติดนิสัยจุกจิกกับการกิน ถ้าอาหารไม่คลีนจริงๆ ไม่มีทางเอาเข้าปาก เห็นอาหารเมนูไหนต้องขอใช้สายตาประเมินก่อนว่ากี่แคลอรี่ อันนั้นก็แคลอรี่สูง อันนี้ก็ไขมันเยอะไป อันนี้ก็คาร์บเยอะ กินแล้วตัวบวม etc. สุดท้ายลิสต์' อาหารห้ามกิน 'ก็ยาวเป็นหางว่าว แทบจะไม่เหลืออะไรให้กินได้แล้วยกเว้นผักกับน้ำเปล่
า ซึ่งในชีวิตจริงเธอต้องกินข้าวกับคนปกติ นัดเจอเพื่อน ปาร์ตี้บริษัท งานเลี้ยงครอบครัว หากเธอตั้งเงื่อนไขให้ตัวเองเยอะเกินไป ( เรื่องมากแหละเอาง่ายๆ ) ก็จะใช้ชีวิตลำบากค่ะ
จะให้ห่ออาหารไปทุกครั้ง เพื่อนชวนไปกินข้าว เอาขนมมาให้กินก็เอาแต่ปฏิเสธ เกรงว่าอาจจะผอมจริง แต่ไม่มีสังคม เพื่อนทั้งกลุ่มรวมตัวกันเลิกคบ ก็คงจะไม่ดีแน่
เราแนะนำว่าไปกินเลี้ยงกับเพื่อนบ้าง แต่เลือกสั่งอาหารแนวต้มๆ ซุป หรือสลัดแทน คุยให้มากกว่ากิน ทำแบบนี้จะช่วยรักษาความสัมพันธ์ได้ แถมยังคงรูปร่างไว้ได้ด้วยค่ะ ทูอินวัน! (♡˙︶˙♡)
3. "ตื่นมาอย่าเพิ่งกิน อดมื้อเช้าไปเลย แคลอรี่ต่อวันจะได้น้อยลง"
ทางออกสำหรับสาวๆ บางคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ตื่นสาย หรืออยากลดจำนวนแคลอรี่ต่อวัน เลยใช้วิธีงดมื้อเช้าไปเลย อาจจะดื่มแค่กาแฟแก้วเดียวหรือผลไม้ 1 ผล ซึ่งไม่พอแน่นอนกับการใช้ชีวิตประจำวัน!
เมื่อกินน้อยก็หิว คิดงานไม่ออก เรียนไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็ไปตบะแตก กินเละเทะในมื้อเที่ยง หรือมื้อเย็นอยู่ดี น้ำหนักก็ไม่ลด จะอดมื้อเช้าไปเพื่ออะไร....ทำไปเพื่อใคร.... แง T T
หากเธอต้องใช้พลังงานหนักๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าของวัน ควรต้องกินมื้อเช้าเป็นอย่างยิ่ง เพื่อจุดไฟให้เตาเผาในร่างกายทำงานดีตลอดทั้งวัน แต่เลือกแบบที่ดีต่อสุขภาพหน่อย เน้นที่มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง เช่น ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท ไข่ดาวน้ำ ไข่ต้ม โยเกิร์ต ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น
มีบางงานวิจัยเผยว่า การกินมื้อเช้าทำให้ลดน้ำหนักได้มากกว่ากินมื้ออื่นๆ ในจำนวนแคลอรี่ที่เท่ากันด้วยซ้ำไป ดังนั้นอย่ารังเกียจมื้อเช้าเลย กินให้ถูกวิธี ผอมเร็วแน่นอนค่ะ
4. "ต้องคำนวณแคลทุกคำที่เอาเข้าปาก" / "อันนี้อาหารคลีน กินเยอะๆ ไม่อ้วน"
การนับแคลอรี่ต่อวันน่ะมันก็ดี จะได้ประเมินตัวเองได้ว่ากินเยอะไปรึยัง แต่ถ้าถึงขั้นต้องนับแคลทุกคำ ทุกหยดที่เอาเข้าปาก มันก็ออกจะเกินไปหน่อย เสียสุขภาพจิตซะเปล่าๆ และไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญขนาดนั้นด้วย!
หรือในทางกลับกัน เห็นเป็นอาหารคลีน ก็กินไม่ลืมหูลืมตา ลืมไปว่ามันก็ยังมีแคลอรี่ กินเยอะก็อ้วนอยู่ดีค่ะ
บางคนเทอาหารใส่ชามเล็กๆ ( แต่อัดแน่นยิ่งกว่ากล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ) แล้วหลอกตัวเองว่ากินน้อย ดูสิชามแค่นี้เอง ไม่อ้วนหรอก อาหารคลีน หรือกินสลัดผักลดความอ้วน แต่สอดไส้ด้วยการเท ' น้ำสลัด ' ลงไปเกือบครึ่งขวด เพื่อให้ฟินว่าวันนี้ฉันกินผัก มันไม่ได้นะจ๊ะ!
กินแต่พอดี ชั่งตวงน้ำหนักในมื้ออาหารหลัก ไม่ใส่เครื่องปรุงเยอะเกินไป และพยายามไม่กินนอกมื้อ ก็ผอมได้แล้วค่ะ
5. "หยุดเสาร์อาทิตย์ทั้งที ก็กินแหลกไปเถอะ ความสุขของเรานี่นา"
อยากผอมลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรมี ' วันพิเศษที่อนุญาตให้กินแหลก ' เยอะจนเกินไป วันเกิดคนสำคัญ งานเลี้ยงส่งรุ่นพี่ที่สนิท วันหยุดสงกรานต์ วันหยุดปีใหม่ ปีละไม่กี่ครั้งยังพอเข้าใจได้ แต่ไม่ใช่กินดุทุกสัปดาห์
หยุดเสาร์อาทิตย์ทีไร เอาละ เสิร์ชหาร้านอาหารอร่อยๆ คาเฟ่ขนมน่ากิน บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก ซื้อความสุข
แต่ทุกครั้งที่เธอกินขนม ก็เหมือน ' ชะลอความผอม ' ให้ช้าออกไป แทนที่ร่างกายจะได้เผาของเก่า เธอเติมของใหม่เข้าไปอีกแล้ว จะผอมยังไงก่อน!?
วันหยุดสุดสัปดาห์อาจดูผ่านไปไว แป๊บเดียวก็วันจันทร์ แต่จริงๆ มันคือ 1/4 ของเดือนเลยนะ! ถ้าเธอกินแหลก 8 วันรวด ร่างกายเผาผลาญไม่ทันแน่นอน
แนะนำให้เลือกไม่เสาร์ก็อาทิตย์ และให้รางวัลตัวเองแค่ 1 มื้อในวันนั้นก็พอ จะกินอะไรก็ได้ ให้ถือเป็น Cheat Meal อิ่มเมื่อไหร่ก็หยุด
แบบนี้จะถือเป็นการกระตุ้นร่างกาย ทำให้น้ำหนักลงได้แบบไม่ติดขัดค่ะ
6. "ออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ ร่างกายกำลังเบิร์น กินอะไรก็ไม่อ้วนหรอก"
หลักการง่ายๆ ของการอยากผอม คือเธอต้องเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าของที่กินไป แม้จะออกกำลังกาย เข้าฟิตเนสเป็นประจำ ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่เธอจะกินตามใจปากได้
สมมุติว่าวิ่งลู่ 30 นาที เผาผลาญได้ 200 แคลอรี่ ด้วยความเหนื่อย เธอก็กินโปรตีนบาร์แท่งละ 180 แคลอรี่ไปสองแท่ง ที่ออกกำลงกายมาก็ไร้ซึ่งความหมาย ร่างกายเบิร์นแต่ของใหม่ ไขมันเก่าสะสมในตัวยังไม่ได้ถูกใช้เลย #อ้วนไปยาวๆ
เราออกกำลังกายเพื่อความผอม จึงไม่ควรเติมพลังงานเยอะเกินความจำเป็น และที่จริงความเหนื่อยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะ ' ขาดน้ำ ' มากกว่าจะหิวอาหารจริงจัง ถ้ารู้สึกหิว จึงควรดื่มน้ำเปล่าก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้าร่างกายต้องการพลังงานจริงๆ ค่อยกิน เน้นอาหารประเภทโปรตีน เช่น ชีส 1 แผ่น, ถั่ว 1 กำมือ, นมอัลมอนด์ 1 กล่อง หรือโปรตีนบาร์ไม่เกิน 1 แท่ง เพื่อให้ร่างกายเหลือโควต้าไปเผาไขมันเก่าค่ะ
7. "วิ่งไปตั้ง 20 นาทีแล้ว เผาไปเป็นพันแคลละแหละ พอ! กลับบ้านได้"
สำหรับสาวๆ ไดเอทหน้าใหม่ ไม่มี gadget ช่วยคำนวณแคลอรี่ที่เผาผลาญ มักจะเดาเอาเองจาก ' ความเหนื่อย ' หรือ ' ปริมาณเหงื่อที่ไหล ' ว่ายิ่งเหนื่อยมาก เหงื่อเยอะ แปลว่าเผาไขมันได้เยอะ ซึ่งไม่จริงเสมอไป!
บางคนเหนื่อยง่าย วิ่งๆ เดินๆ 10-15 นาทีในสวนสาธารณะก็หอบแฮ่กแล้ว แต่คิดว่าตัวเองคงเผาผลาญไปแล้ว 500 แคล 1000 แคล ซึ่งเกินความเป็นจริงไปมาก ร่างกายอาจยังไม่เริ่มเผาไขมันเลยด้วยซ้ำค่ะ -_-
อยากผอมแบบมีหลักการ จะใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสินไม่ได้ ควรมีเครื่องวัด แสดงตัวเลขชัดเจน การเข้าฟิตเนสที่เครื่องวิ่ง เครื่องปั่นจักรยานมีตัวเลขแคลอรี่ที่เผาผลาญบอกชัดเจน ก็ช่วยได้อีกทางหนึ่ง
แต่เลขแคลอรี่อย่างเดียวก็คลาดเคลื่อนได้ ควรนับควบคู่กับจำนวนเวลาและเข้มข้นในการออกกำลังกาย จะช่วยประเมินได้ชัดเจนกว่า สามารถติดตามผลได้ด้วยว่า ถ้าผ่านไปเดือนนึงแล้วไม่ผอมลง ก็ต้องออกให้นานขึ้น หนักขึ้น เป็นต้น
---------------------------------
แม้ความเชื่อต่างๆ ในโลกออนไลน์ หรือความรู้สึกส่วนตัวของเรา มักเรียกร้องให้ทำสิ่งที่ขัดกับสุขภาพ และมักเห็นผลลัพธ์จริง แต่ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่พ้นต้องเด้งกลับมาแบบเดิมเพราะการลดความอ้วน ที่เป็นลด ' ไขมัน ' ให้ตัวเล็กลง ไม่ใช่แค่น้ำกับกล้ามเนื้อ ยังไงก็ไม่มีทางลัด! วิธีธรรมดาๆ อย่างคุมอาหาร ออกกำลังกาย นอนให้พอ ไม่เครียด ทำตัวให้เฮลตี้ ไม่กินยาที่เอฟเฟกต์เมตาบอลิซึ่มให้เผาผลาญช้าลง เป็นความผอมที่ยั่งยืนที่สุดแล้วแต่อาจต้องปรับบ้างตามปัจจัยของแต่ละคนที่ต่างกัน แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานเดียวกันอยู่ดี สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ก็ต้องเริ่มทำเองนะคะ ^^ สำหรับวันนี้ขอตัวไปออกกำลังกายก่อนละ พบกันใหม่คราวหน้า บ๊ายบาย